การตอบคำถามทางเว็บไซท์ http://www.phuwarinlawyer.com/ เป็นเพียงความคิดเห็นเบื้องต้นทางกฎหมายซึ่งได้วินิจฉัยและตอบคำถามจากข้อเท็จจริงเพียงเท่าที่ปรากฏเท่านั้น โดยอาจมีรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้ถามมิได้แจ้งข้อมูลมาอย่างครบถ้วนที่จะประกอบการวินิจฉัยอย่างเพียงพอ ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจ ************************************************************** ติดต่อปรึกษาทางโทรศัพท์ 081-9250-144 หรือ Line ID 081-9250-144 **กรณีหากไม่รับสายแสดงว่าติดภารกิจศาลหรือติดงาน กรุณาโทรติดต่อใหม่อีกครั้ง**
สวัสดีครับ ผมขอตอบคำถามคุณอิทธิฤทธิ์ดังนี้ครับ. บริษัทจำกัด เป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่ง คณะบุคคลก็เป็นนิติบุคคลประเภทหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะเลือกจดทะเบียนประเภทไหนครับ ส่วนมากก็จะจดทะเบียนบริษัท โดยมีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้ 1. ผู้ก่อการยื่นขอตรวจ และจองชื่อบริษัท ด้วยแบบจองชื่อนิติบุคคลเพื่อตรวจสอบว่าชื่อที่จะใช้นั้นจะเหมือนหรือคล้ายกับชื่อที่คนอื่นได้จดทะเบียนไว้ก่อนหรือไม่ โดยยื่นแบบจองชื่อดังกล่าวแก่นายทะเบียนผู้ตรวจสอบชื่อ และปัจจุบันสามารถจองชื่อผ่านทางอินเตอร์เน็ตทางเว็บไซต์ http://www.thairegistration.com ซึ่งจะทราบผลในวันถัดไปโดยจะแจ้งผลการจองชื่อผ่านทาง e-mail ของผู้จองชื่อนั้น เมื่อจองชื่อได้แล้วจะต้องขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิภายใน 30 วัน 2. เมื่อได้ชื่อแล้ว บุคคลซึ่งเป็นผู้ก่อการตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป เข้าชื่อกันจัดทำคำขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและเอกสารประกอบแล้วนำไปจดทะเบียน 3. เมื่อได้จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว ผู้ก่อการต้องจัดให้หุ้นของบริษัทที่คิดจะจัดตั้งขึ้นนั้น มีผู้เข้าชื่อจองซื้อหุ้นจนครบ 4. ดำเนินการประชุมจัดตั้งบริษัท โดยต้องส่งคำบอกกล่าวนัดประชุมให้ผู้จองหุ้นทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ก่อนวันประชุม 5. เมื่อได้ประชุมตั้งบริษัท และที่ประชุมได้แต่งตั้งกรรมการบริษัทแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องมอบหมายกิจการให้กรรมการบริษัทรับไปดำเนินการต่อไป 6. กรรมการบริษัทจัดการเรียกให้ผู้เริ่มก่อการและผู้ขอจองหุ้น ชำระค่าหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้น 7. เมื่อได้รับเงินค่าหุ้นแล้ว กรรมการต้องจัดทำคำขอจดทะเบียนตั้งบริษัทและเอกสารประกอบ นำไปจดทะเบียนเป็นบริษัทภายใน 3 เดือน หลังจากการประชุมตั้งบริษัท หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมโปรดสอบถามทนายศิริรัตน์ครับ (รายละเอียดหน้าเว็บหลัก http://www.phuwarinlawyer.com/ ครับ) ทนายภูวรินทร์ ************************************************************
เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากนะครับ การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่อาจจะอาศัยเพียงแค่โชคช่วยได้อย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความรู้ การประยุกต์ใช้หลายๆเรื่อง ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ด้วยแล้วนั้น การศึกษากลยุทธและเทคนิคในการประกอบการเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องจำเป็นมาก กรณีของคุณนุ๊กนั้น ขณะนี้อยู่ในสภาวะที่ต้องต่อสู่กับคู่แข่งทางการค้าในสถานการณ์ที่เป็นรอง..ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาครับสำหรับการทำธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง ... วิธีการในการที่คุณนุ๊กจะผ่านจุดวิกฤติตรงนี้และสามารถพลิกเป็นความได้เปรียบในการค้าทำอย่างไร.. ผมขออนุญาตแนะนำกลยุทธ์ในการทำธุรกิจของคุณนุ๊กดังนี้ครับ ก่อนอื่นนุ๊กต้องศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จกับกลยุทธหรือการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จเสียก่อน จึงจะสามารถไปประยุก์กับธุรกิจของคุณนุ๊กได้ (ผมขออนุญาติแยกเพิ่มเป็นอีกกระทู้นึงนะครับเนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนทั่วไปที่จะเริ่มทำธุรกิจ) ผมขอสรุปคร่าวๆดังนี้ครับ 1.เทคนิคการทำการตลาด แนวคิดทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จ ในระดับธุรกิจประเภท SMEs นั้น อาศัยพื้นฐานดังนี้ 1. รู้ตลาด-รู้คู่แข่ง ต้องมีความเข้าใจว่าประเภทสินค้า (Product Category) ในตลาดมีลักษณะอย่างไรบ้าง แนวทางการเติบโตเพิ่มขึ้น หรือ ลดลง ส่วนแบ่งการตลาดเป็นอย่างไร สินค้าเรามีลักษณะที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้โดดเด่นกว่าคู่แข่งอย่างไร *กรณีเช่นคุณนุ๊กนั้น ยิ่งทราบว่าคู่แข่งเป็นร้านที่มีราคาไหมถูกกว่า สินค้าเหมือนกัน ... โชคดีมากนะครับที่รู้รายละเอียดร้านคู่แข่งได้ขนาดนี้แล้ว โจทย์คือจะเรียกลูกค้ากลับมาได้อย่างไร ในเมื่อคุณนุ๊กก็ทราบข้อดี-ข้อเสียของร้านเขา และร้านของเราเองนั้น มีอะไรบ้าง ทีนี้ก็ต้องมาลองเขียนแผนการตลาดกันก่อนครับ...ว่าจะทำอย่างไร จะวางแผนตั้งรับการแข่งขันอย่างไร..ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายมากครับ .. ขั้นแรก ขอแนะนำให้คุณนุ๊กลองเขียนเป็นตารางลิสต์รายการเปรียบเทียบระหว่างร้านคุณกับร้านคู่แข่งดูก่อนครับ เพื่ออะไร..? เพื่อให้คุณทราบจุดอ่อน และจุดแข็งของร้านคุณว่ามีอะไรบ้าง เช่น ข้อดี ร้านอยู่ในแหล่งชุมชน เดินทางง่ายไหม ติดตลาดมีที่จอดรถ มีลูกค้าเดิมไหม? ข้อเสีย ร้านเค้าร้านเปิดใหม่ บริการเป็นอย่างไร มีลายแพทเทิร์นในการทำงานเย็บปักถักร้อยแบบสวยๆน่ารักๆไหม งานพวกนี้อาจต้องอาศัยทักษะทางศิลปะและการตกแต่งร้าน บ้างพอสมควร เพื่อให้เหมาะกับร้านที่ขายของงานฝีมือสำหรับผู้หญิง การตกแต่งร้านแบบราคาไม่แพงนั้นทำกันอย่างไร เช่น อาจจะใช้ wallpaper ตกแต่งผนัง(อาจแค่ผนัง ด้านเดียวของร้านเพราะ wallpaper ราคาสูงกว่าทาสี) หรือจะทาสีหรือตกแต่ง ..ตกแต่งด้วยอะไรอันนี้อยากให้ทำแบบประหยัดครับ การตกแต่งร้านแบบประหยัดมีวิธีมาก มายไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไปครับ ทั้งยังส่งผลต่อภาพพจน์ของร้านคุณนุ๊กเองด้วยครับ ลองศึกษาดูจากใน google ดูได้ครับ จากคำว่า "shop yarn interior "ในหมวดรูปภาพเพื่อลองศึกษาวิธีการหา concep แนวทางการแต่งร้าน หรือลองเสิร์ชหา จากคำว่า"การแต่งร้านแบบประหยัด" หรือ " การตกแต่งร้าน"หรือ "shop decoration"ดูก็ได้ครับ ซึ่งถ้าหากคุณนุ๊กจะตกแต่งร้าน อาจจะวางงบประมาณไว้คร่าวๆว่าเท่าไหร่ แล้วจะคุ้มค่าไหมกับที่ต้องลงทุนไปนำมาคำนวณจุดคุ้มทุน หรือ..จะนำเงินส่วนนั้นมาปรับปรุงร้านด้านอื่น เช่น หาสินค้าอื่นๆที่น่าสนใจ และศึกษาความรู้เพิ่มในการถักทอ อาจจะมีโปรโมชั่นเพิ่ม ภายในร้าน เช่น ซื้อไหม 2 กลุ่ม (ไหมอิตาลี แถม 1 กลุ่มไหมไทย หรือไหมกลุ่มปกติ) หรือทำเป็นบัตรสแตมป์ให้ลูกค้าทำแต้ม (เหมือนการทำการตลาดง่ายๆแบบ 7-11) สิ่ง เหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่เล็กน้อยเลยครับ นี่ไม่รวมไปถึงการบริการภายในร้าน เช่น มีการสอนถักให้ไหม .. ฟรีไหม หรือต้องเสียเงิน หรือจะใช้เทคนิคอื่นๆอีก มากมาย ซึ่งข้อนี้คุณนุ๊กจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดครับว่าจะมีทางวางกลยุทธ์ตรงนี้อย่างไร เนืองจากผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียดในส่วนอื่นเช่นกัน ข้อสอง คุณนุ๊กต้องแก้ไข หรือปรับปรุงจากเทคนิคในข้อแรกครับ เมื่อทราบจุดบอดของธุรกิจข้อไหน ก็ปรับข้อนั้นเสีย *ข้อนึงนะครับ ที่อยากฝากไว้คือ อย่าพยายามโจมตีคู่แข่งทางธุรกิจ แต่ขอให้ทำให้ลูกค้าของคุณเล็งเห็นข้อดีธุรกิจของคุณเองว่าดีกว่าคู่แข่งอย่างไร ข้อสาม จดบัญทึกรายละเอียด FEED BACK หลังจากปรับปรุงการตลาดไปครับเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงธุรกิจต่อไป (ประมาณ 3 เดือนก็น่าจะทราบแล้วครับ) 2. รู้จักลูกค้า นักธุรกิจมือใหม่ไม่ควรมองแต่สินค้า และกิจการของตัวเอง ควรมองถึงพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าอีกด้วย เช่น ช่องทางการขายหลักของสินค้าประเภทนี้อยู่ที่ไหน อะไรคือสิ่งบันดาลใจให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์สินค้าให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย *กรณีเช่นคุณนุ๊กนั้น ผมไม่ทราบว่าได้มีการสร้าง BRAND สินค้าหรือสร้างภาพลักษณ์ที่ร้านไว้อย่างไรบ้างครับ จึงอธิบายในข้อนี้ไม่ได้ แต่ข้อนึงคือ ขอให้พยายามศึกษาความต้องการ ของลูกค้าและตอบสนองตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ จะเป็นข้อนึงที่ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายกลับมาได้ส่วนหนึ่งครับ
3. รู้จักเลือกตลาดในการวางสินค้า หรือ บริการ ธุรกิจระดับ SMEs การเจาะจงส่วนของตลาด ได้ชัดเจนเท่าไร จะยิ่งทำให้การใช้ทรัพยากรทางการตลาด ได้ผลลัพธ์ดีกว่าที่วางสินค้าตามตลาดใหญ่ แต่ไม่ได้เจาะจงกลุ่มผู้บริโภคสินค้าที่ต้องการ 4. รู้วิธีการสื่อสาร (Key Message) เมื่อเรารู้ถึงความต้องการของผู้บริโภค และเลือกที่จะวางสินค้า และ บริการตามแต่ละส่วนของตลาดแล้ว ต่อมาต้องดูว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะรู้จักเราในภาพลักษณ์แบบใด โดยตั้งคำถามนำในลักษณะที่ว่า กลุ่มเป้าหมายจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง หรือ อะไรคือความคาดหวังจากกลุ่มเป้าหมายต่อสินค้า และ บริการของเรา คำอธิบายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเราแบบใดที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจได้ง่ายที่สุด นอกจากนี้กลยุทธ์ประเภท "ปากต่อปาก"ก็เป็นวิธีการสื่อสารที่ได้ผลดีกับธุรกิจประเภท SMEs ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจควรกำหนดกลับที่เป็นผู้นำสำหรับเป็นกระบอกเสียงให้กับผลิตภัณฑ์ หรือ บริการ อาจจะจัดตั้งชมรมคนใช้สินค้าของเรา ในสถานที่ต่าง ๆ ที่เห็นว่าเกี่ยวข้องกับประเภทของสินค้า * ผมจะขอแนะนำคุณนุ๊กเกี่ยวกับการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในครั้งหน้า โดยจะแยกไปอีกกระทู้นึงนะครับ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์มากสำหรับนักธุรกิจ sme ครับ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ credit photo : http://blog.craftzine.com/archive/2007/10/crafty_chicago_nina_yarn_shop.html