อยากทราบว่า
1. การติดอากรแสตมป์ในสัญญากู้ยืมเงินนั้น ใครเป็นผู้ขีดคร่อมบนแสตมป์ค่ะ ผู้กู้หรือผู้ให้กู้ค่ะ
2. เราสามารถติดอากรแสตมป์ด้านหลังสัญญาได้ไหมค่ะ
3. พยาน สามารถเป็นคนในครบอครัวได้หรือเปล่าค่ะ

ช่วยแนะนำหน่อยนะค่ะเรื่องสัญญากู้เงินว่าแบบไหนถึงจะทำถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

ตอบคำถามคุณjubjib
       ผมตอบคำถามคุณไปแล้วในกระทู้ที่คุณไปตั้งคำถามไว้ จะไม่ตอบซ้ำอีก ส่วนที่ถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับพยานนั้น จะเป็นใครก็ได้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว เพราะการกู้ยืมเงินกฎหมายต้องการแค่หลักฐานการกู้ยืมที่มีลายมือชื่อเฉพาะของผู้กู้คนเดียวเป็นสำคัญ แม้สัญญากู้จะไม่มีลายมือชื่อของผู้ให้กู้ หรือพยาน สัญญากู้ก็ใช้บังคับได้ตามกฎหมายเหมือนเดิม ส่วนการมอบเงินกู้ให้แก่ผู้กู้นั้น ก็ควรให้ผู้กู้เขียนหมายเหตุว่าได้รับเงินไปในวันทำสัญญากู้เพิ่มเติมด้วยลายมือของผู้กู้อีกครั้ง และได้รับเป็นเงินสด หรือโอนทางหมายเลขบัญชีเพื่อความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
       แต่สิ่งที่ต้องระวังในการปล่อยกู้คือ ตอนให้ยืมให้เงินเป็นก้อน แต่ตอนจะเอาคืนอาจต้องฟ้องศาล ต้องเสียเงินค่าขึ้นศาลร้อยละ 2 และค่าจ้างทนายฟ้องคดีอีก บางครั้งอาจได้รับเงินคืนทีละน้อยก็ได้ หรือหากโชคร้ายอาจไม่ได้เงินคืนก็มี ลงทุนฟ้องคดีเสียเปล่าก็มาก เสียเวลาเสียสุขภาพจิตอีกก็เยอะ ฉะนั้น การทำสัญญากู้เปล่า ๆ เพียว ๆ อาจได้รับความเสี่ยงมาก ลองดูสัญญากู้ที่ธนาคารทำจะเห็นว่ามีทั้งบุคคลค้ำประกันการกู้ และมีทั้งทรัพย์สินมาค้ำประกันการกู้ หากคนกู้ไม่มีเงินคืน ก็ยังมีคนค้ำประกัน หรือทรัพย์สินให้ยึดเอามาชำระหนี้ได้อีก

ขอบคุณมากนะค่ะ สำหรับคำตอบและคำแนะนำดีๆค่ะ

อีกหนึ่งคำถามค่ะ ผู้กู้ยืมเงินไปปีที่แล้ว บอกว่าจะคืนให้ปีนี้ แต่ปีนี้ยังไม่ได้คืน ก็เลยว่าจะทำสัญญาขึ้นมา และผู้ก็ยินยอมให้ทำขึ้นมาค่ะ เราควรจะใส่วันที่ที่ทำสัญญา(ตรงหัวกระดาษ) ตามจริงเลยหรือเปล่าค่ะ หรือว่าวันที่ผู้กู้ได้เอาเงินไปแล้วค่ะ

ดิฉันก็ไม่ได้แน่ใจว่าจะได้คืนเป็นก้อนในปีหน้า แต่เขารับปากว่าจะคืนให้ปีหน้าอ่ะค่ะ ถามถึงเรื่องคนค้ำ ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าค้ำให้หรอกค่ะ ทรัพย์สินอย่างเช่นรถยนต์ ผู้กู้ก็ผ่อนกับธนาคารอยู่ค่ะ พอจะมีไหนบ้างค่ะ มึนตึบไปหมดเหมือนกันค่ะ ขอคำปรึกษาหน่อยนะค่ะ :-_-:

หลักฐานการกู้ยืมเงินจะทำขึ้นภายหลังจากที่กู้ก็ได้ ผมได้ยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกามาให้ดูแล้วในกระทู้ที่คุณไปโพสต์ถามไว้ ฎีกาแรกเลย ลองไปหาอ่านดู ส่วนวันที่ทำสัญญาขึ้นย้อนหลังนั้น ก็ต้องระบุวันเวลาที่ทำสัญญาจริง ๆ ตามความจริง แต่วันที่รับเงินที่กู้ก็ต้องใส่ให้ตรงกับที่มอบให้กันจริง ๆ เพราะมีผลเรื่องการคิดดอกเบี้ย และอาจจะมีข้อสัญญาตกลงเรื่องดอกเบี้ยย้อนหลังว่าจะชำระอย่างไรด้วย ซึ่งหากใส่รายละเอียดไปเยอะคนกู้ก็อาจไม่เซ็นสัญญาให้ เสียหายอีก
เมื่อให้กู้เงินไปแล้วก็ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้ครับ แต่หากยังไม่ได้ให้กู้ ก็จะแนะนำว่าอย่าให้กู้เงินเลย เพราะเอาคืนยาก