ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ
   ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ
   ศาลยุติธรรม
   ศาลแพ่ง
   ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
   ศาลอาญา
   ศาลอาญากรุงเทพใต้
   ศาลอาญาธนบุรี
   ศาลแพ่งธนบุรี
   ศาลจังหวัดตลิ่งชัน
   ศาลจังหวัดมีนบุรี
   ศาลแขวงพระนครเหนือ
   ศาลแขวงพระนครใต้
   ศาลแขวงปทุมวัน
   ศาลแขวงดุสิต
   ศาลแขวงธนบุรี
   ค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา
   ค้นหากฎหมายไทย
   อัตราค่าส่งหมายทั่วประเทศ
   ดาวน์โหลดแบบฟอร์มศาลยุติธรรม
   เนติบัณฑิตยสภา
   สภาทนายความ
   กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
   สนง.คณะกรรมการกฤษฎีกา
   ห้องสมุดกฎหมายไทย 1.1
   ห้องสมุดกฎหมายไทย 2.1
   ห้องสมุดกฎหมายไทย 2.2
   ห้องสมุดกฎหมายคณะกรรมการกฤษฎีกา
สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 10
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 236
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 2,567,240
 เปิดเว็บ 02/06/2553
 ปรับปรุงเว็บ 17/02/2565
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
5 ตุลาคม 2566
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
10  11  12  13  14 
15  16  17  18  19  20  21 
22  23  24  25  26  27  28 
29  30  31         
             
 Webboard

การตอบคำถามทางเว็บไซท์ http://www.phuwarinlawyer.com/ 
เป็นเพียงความคิดเห็นเบื้องต้นทางกฎหมายซึ่งได้วินิจฉัยและตอบคำถามจากข้อเท็จจริงเพียงเท่าที่ปรากฏเท่านั้น
โดยอาจมีรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้ถามมิได้แจ้งข้อมูลมาอย่างครบถ้วนที่จะประกอบการวินิจฉัยอย่างเพียงพอ
ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจ
**************************************************************

ติดต่อปรึกษาทางโทรศัพท์  081-9250-144 หรือ Line ID 081-9250-144
**กรณีหากไม่รับสายแสดงว่าติดภารกิจศาลหรือติดงาน กรุณาโทรติดต่อใหม่อีกครั้ง**

lawyer.makewebeasy.com > ปรึกษาปัญหากฎหมายทั่วไป > คดียักยอกทรัพย์ รบกวนด่วนค่ะ
  ผู้เขียน
 หัวข้อ : คดียักยอกทรัพย์ รบกวนด่วนค่ะ (อ่าน 101956) 
876
 
wiparat
Guest
เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2554 17:37 น.
จำเลยในคดียักยอกทรัพย์(450000 บ.) ทำการประนีประนอมไว้กับศาล ว่าจะขอผ่อนจ่ายเดือนละ 3000 บ. ต่อมาจำเลยขาดส่งติดต่อกันหลายงวด ศาลจึงสั่งปรับนายประกัน 153000 บ.ในกรณีเช่นนี้จะทำอย่างไรดีคะ
1.ถ้าจำเลยไปมอบตัวศาลจะทำอย่างไรกับจำเลย เช่น ให้ผ่อนจ่ายต่อ รึว่า จับตัวจำเลยทันที
2.ถ้าจำเลยถูกอายัดตัวไว้จะสามารถประกันตัวได้อีกหรือไม่
3.นายประกันจะสามารถลดหย่อนค่าปรับได้หรือไม่
4.แนวทางของคดีนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

รบกวนด้วยค่ะ เรื่องเกิดกับครอบครัวของตัวเอง
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 1 เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2554 18:43 น. [แจ้งลบ]
ตามที่ได้ปรึกษาคดีเรื่องยักยอกทรัพย์มานั้น ผมขอตอบคำถามดังนี้ครับ คดียักยอกทรัพย์ เป็นคดีความผิดอันยอมความกันได้ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี ฯ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพแล้ว คดีก็เป็นอันเสร็จสิ้นการพิจารณา ศาลสามารถตัดสินคดีได้เลยทันที แต่คดีนี้เนื่องจากมีการผ่อนชำระเงิน ศาลจึงจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวเพื่อรอฟังผลการชำระหนี้ เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้โจทก์ก็จะยื่นคำร้องขอให้ศาลพิพากษาต่อไป และส่งหมายนัดแจ้งให้จำเลยทราบวันเวลาฟังคำพิพากษา หากจำเลยไม่ไปศาลๆก็ออกหมายจับ และปรับนายประกัน        

          ดังนั้น  หากจำเลยไปมอบตัวต่อศาล ขอแนะนำให้นายประกันเป็นผู้นำตัวจำเลยไปศาล และให้นายประกันยื่นคำร้องขอลดค่าปรับ โดยแถลงถึงสาเหตุที่ไม่ได้ไปศาลตามกำหนดนัด ซึ่งศาลอาจใช้ดุลพินิจลดค่าปรับลงได้ เมื่อจำเลยไปมอบตัวแล้ว ศาลจะมีคำสั่งให้ควบคุมตัวจำเลยไว้เพื่ออ่านคำพิพากษา ในระหว่างนั้นจำเลยมีสิทธิยื่นขอประกันตัวได้อีก ส่วนศาลจะมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับหลักประกัน, ได้มีการผ่อนชำระหนี้ไปแล้วเพียงใด และดุจพินิจของศาล ซึ่งศาลอาจไม่อนุญาตก็ได้เพราะเคยมีพฤติการณ์ไม่มาศาลตามนัดแล้ว ดังนั้น คดีลักษณะนี้ก็ขึ้นอยู่กับโจทก์หรือผู้เสียหายว่าจะยินยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ต่อหรือไม่ ซึ่งไม่สามารถตอบแทนได้

 
ภสุคะเน
Guest
Goodtime2012@hotmail.com
ตอบ # 2 เมื่อ 10 มีนาคม 2555 17:00 น. [แจ้งลบ]
กรณีที่ออกจากงานมา1เดือนพบว่่านายจ้างแจ้งความกรณียักยอกทรัพย์ เพราะฉันต้องเซ็นรับเงินโดยตำแหน่งงานอยู่แล้ว ทั้งที่นายจ้่างโอนเงินเข้าบัญชีให้บ่อยครั้งเนื่องจากเสน่ห์หา และพอออกมาภรรยาโกรธเลยแจ้งความดิฉันตามเอกสารที่เซ็นรับเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ แบบนี้ทำไงดีคะ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 3 เมื่อ 13 มีนาคม 2555 22:35 น. [แจ้งลบ]

ตอบคุณภสุคะเน

                    เมื่อถูกร้องทุกข์ดำเนินคดี ก็ต้องต่อสู้คดีกันตามกระบวนการของกฎหมายครับ โดยเจ้าพนักงานตำรวจจะส่งหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา หากไม่ไปอาจถูกขออนุมัติศาลออกหมายจับได้ ส่วนการให้ปากคำก็สามารถให้การสั้น ๆ ปฏิเสธข้อหาและขอให้การในชั้นศาลได้ ส่วนประเด็นข้อต่อสู้ต่าง ๆ นั้น ต้องปรึกษากับทนายความให้รัดกุมรอบคอบ และหาหลักฐานประกอบการต่อสู้คดีด้วย ทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร มิใช่มีแต่คำกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานสนับสนุน มิฉะนั้น ศาลอาจไม่รับฟังได้

ษณธ
Guest
ตอบ # 4 เมื่อ 23 มีนาคม 2555 14:17 น. [แจ้งลบ]
รบกวนปรึกษาครับ พี่สาวซื้อรถให้ด้วยเงินสดเป็นชื่อผม ต่อมาทราบภายหลังว่าเงินที่พี่นำมาซื้อรถได้มาโดยการยักยอกเงินบริษัท
เจ้าของบริษัทเจ้าหนี้โทรมาแจ้งผม ผมจึงขอคืนรถให้เจ้าหนี้ โดยที่เจ้าหนี้จะไม่เอาความใดใดและตัดออกไปจากดคีไม่ต้องขึ้นศาลชี้แจง ไม่ส่งสำนวนฟ้องผมฐานรับของจากพี่ผู้ต้องหา
1.ผมคืนรถแก่เจ้าหนี้ ถือเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามขั้นตอน ใช่ หรือ ไม่ครับ
2.เจ้าหนี้รับปากและจะทำสัญญาขึ้นมาเป็นหลักฐานว่าเราได้แสดงเจตนาที่ดี คืนรถพี่ได้มาโดยไม่ชอบแก้เจ้าของเงินที่แท้จริง นี้คือขั้นตอนที่ ถูกต้องแล้ว ใช่ หรือไม่ครับ
3.รบกวนแนะนำและอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่ผมควรทราบและเข้าใจด้วยครับ

ขอบคุณมากๆครับ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 5 เมื่อ 24 มีนาคม 2555 21:37 น. [แจ้งลบ]
ตอบคำถามลำดับที่ 4 

        คดียักยอกเป็นคดีความผิดอันยอมความกันได้ กล่าวคือ คู่กรณีสามารถตกลงเพื่อระงับคดีกันได้เสมอ  เมื่อมีการคืนเงินหรือทรัพย์สิน หรือผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแล้ว  ถือว่าเป็นการยอมความกันถูกต้องตามกฎหมาย และถือว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปเมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์ถอนฟ้อง หรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น จึงต้องทำเป็นหลักฐานและมีข้อความเกี่ยวกับการคืนทรัพย์สินและไม่ติดใจดำเนินคดีด้วย
นายพรหมเพชร ดวงมะลา
Guest
prompetch_d@windowslive.com
ตอบ # 7 เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2555 14:34 น. [แจ้งลบ]
น้องสาวคนหนึ่ง ทำงานเป็นพนักงานบัญชีตั้งแต่ปี 50 จนถึงปี 55 โดยได้รับการไว้วางใจให้ดูแลเงินฝากออมทรัพย์ ของสหกรณ์ ต่อมาการทำการเมื่อถึงใกล้จะสินปี จำเป็นต้องปิดบัญชี เพื่อให้ผู้ตรวจบัญชี ตรวจสอบโดยน้องสาวคนนี้ ต้องนำงานที่ทำไปให้ จนท การเงิน และผู้จัดการสหกรณ์ ที่ทำงานด้วยกันลงนานตลอดก่อนที่จะส่งต่อไป จากนั้นพบว่าน้องสาวไม่สามารถปิดบัญชีได้ จึงมีการปรับยอดเงินฝากของสมาชิก ให้ตรงกันกับรายงานที่ส่ง โดยน้องได้นำเงินออกจากบัญชีเงินฝากของสมาชิกไปใช้ส่วนตัว อยู่หลายปี เป็นเงิน 2500000 บาท หลังจากนั้น น้องสาวก็สามารถสอบเข้ารับราชได้ จึงได้ลาออก มารับราชการ ต่อมา ทางสหกรณ์ จับได้ว่าน้องสาวกระทำการปรับแต่งบัญชี และยักยอกทรัพย์ อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานอยู่ แต่ไม่นานคงฟ้อง
1 อยากถามว่าน้องสาว และ เจ้าหน้าที่การเงิน ผู้จัดการสหกรณ์ มีความผิดหรือไม่
2 น้องสาวยักยอกทรัพย์จริง มีความผิดอย่างไร
3 น้องสาวจะได้ออกจากราชการหรือไม่ เพราะว่าน้องสาวทำความผิดก่อนเข้ารับราชการ
4 ตอนนี้ยังไม่มีการฟ้องร้อง อยุ่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน ควรทำอย่างไร
5 สามีน้องเขารับราชการ แต่ไม่ทราบการกระทำของน้องเขา มีความผิดด้วยหรือไม่
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 8 เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2555 21:33 น. [แจ้งลบ]

ตอบคำถามคุณพรหมเพชร

              หลักกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานยักยอก  ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352  บัญญัติว่า “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

               แต่หากผู้กระทำความผิดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เช่น ยักยอกเงินต่างจำนวนต่างวันเวลากัน คือเอาไปหลายครั้ง กฎหมายบัญญัติให้ศาลลงโทษผู้กระทำผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป  และหากกรณีความผิดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป เช่น ร่วมกันวางแผนกระทำผิด มีการแบ่งหน้าที่กันทำ แบ่งผลประโยชน์ที่ได้จากการกระทำความผิด ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นถือเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น  ๆ ด้วย

            ตามคำถามขอตอบเรียงลำดับดังนี้

            1.
การที่น้องผู้หญิงได้นำเงินออกจากบัญชีเงินฝากของสมาชิกไปใช้ส่วนตัว เป็นเงิน 2500000 บาท ถือเป็นการกระทำความผิดอาญาฐานยักยอกมีความผิดตามมาตรา 352 ส่วนผู้จัดการสหกรณ์หากมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยในลักษณะเป็นตัวการร่วม ก็ถือว่ามีความผิด และอาจถูกดำเนินคดีไปด้วย

            2.
หากโจทก์นำสืบแสดงให้ศาลเห็นว่าน้องผู้หญิงกระทำความผิดจริง ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำคุก ส่วนจะเป็นกี่ปีนั้น เป็นดุลพินิจของศาล ไม่อาจตอบได้ เพราะไม่ได้เป็นคนตัดสินคดีเอง และการเอาเงินไปเป็นจำนวนมาก ปกติศาลจะไม่รอการลงโทษ หรือรอลงอาญา

            3.
คุณสมบัติของข้าราชการจะต้องไม่เป็นผู้ต้องเคยรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำความผิดทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ดังนั้น หากคดีถึงที่สุดและไม่มีการรอลงอาญา ย่อมต้องถูกจำคุกจริง ๆ และทำ ให้ขาดคุณสมบัติของข้าราชการได้ แต่หากศาลพิพากษารอลงอาญา คือไม่ได้รับโทษจำคุกจริง ๆ แม้ไม่ขาดคุณสมบัติดังกล่าว แต่ก็อาจเข้าข่ายต้องห้ามตามหลักจริยธรรม คือ ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี ซึ่งทำให้ขาดคุณสมบัติตามข้อนี้ได้อีกเช่นกัน

            4.
คดียักยอกเป็นความผิดอันยอมความกันได้ หากมีการถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับตามกฎหมาย ไม่ถูกฟ้อง ไม่ถูกศาลตัดสิน และถูกลงโทษ  ซึ่งการถอนคำร้องทุกข์ส่วนมากเกิดจากผู้กระทำผิดชำระเงินคืนแก่ผู้เสียหาย แต่คดีนี้ผู้เสียหายเป็นหน่วยงานสหกรณ์ ต้องขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าหากมีการชำระเงินคืนทั้งหมดจะยอมถอนคำร้องทุกข์หรือไม่ เพราะบางทีอาจต้องการดำเนินคดีถึงที่สุดเพื่อมิให้เกิดการกระทำความผิดลักษณะนี้อีกก็ได้

            5.
คดีอาญา บุคคลที่จะได้รับโทษตามกฎหมายคือผู้กระทำผิดเท่านั้น ไม่มีผลไปถึงบุคคลอื่น ใครทำผิด คนนั้นต้องรับโทษเองเป็นการเฉพาะตัว สามีไม่ได้ร่วมกระทำความผิด จึงไม่มีผลกระทบใด ๆ ให้ถูกลงโทษตามไปด้วย


แก้ไขเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2560 10:42 น.
gnie
Guest
ตอบ # 9 เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2555 13:10 น. [แจ้งลบ]
โอนเงินให้เพือ่นซื้อรถมอไซด์ เขาใส่เป็นชื่อเขา ตอนนั้นเราไว้ใจเขาก็เลยไมารู้สึกอะไร แต่พอทะเลาะกันเราขอรถเราคืน เขาไม่ยอมให้ อ้างว่าเขาเป็นเจ้าของ จะเอาผิดกับเขาได้ไหม และเราจะได้รถคืนไหม
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 10 เมื่อ 3 ธันวาคม 2555 18:59 น. [แจ้งลบ]
ตอบคำถามคุณ gnie

          ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ตอบล่าช้าครับ ตามคำถามการโอนเงินให้เพื่อนเพื่อซื้อรถ เพื่อนคุณสามารถอ้างได้ว่ารถเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาแต่เพียงผู้เดียวเพราะเป็นคนซื้อด้วยเงินของตนเอง และหากคุณปฏิเสธว่าเป็นคนโอนเงินให้ซื้อ เพื่อนก็สามารถโต้แย้งได้อีกเช่นกันว่าเงินดังกล่าวเป็นการกู้ยืมที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือไม่สามารถฟ้องร้องศาลได้ และไม่ได้เอามาซื้อรถ เป็นต้น ดังนั้น เรื่องนี้การจะเอาผิดจึงเป็นไปได้ยากมากเพราะมีข้อโต้แย้งหลายประการ 
คนมีปัญหา
Guest
trikkyliw@yahoo.com
ตอบ # 11 เมื่อ 10 ธันวาคม 2555 15:48 น. [แจ้งลบ]
1.เนื่องจากพี่สาวได้ขายคอมพิวเตอร์ต่อให้ และเราได้ผ่อนไปแล้ว แต่มีการโอนเงินไปแค่ ครั้งเดียวที่เหลือพี่สาวมาเก็บเองทุกเดือน แต่เกิดการทะเลาะกันพี่สาวจะไปแจ้งความว่าเรายักยอกทรัพย์ ทั้งๆที่คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้มีหลักฐานว่าเป็นชื่อใคร เอกสารการซื้อหรือใบเสร็จก็ไม่มีเพราะนานแล้วจึงทิ้งไป ดังนั้นจะสามารถแจ้งความว่าเรายักยอกทรัพย์ได้ไหมคะ และเราจะแจ้งกลับได้ไหมเพราะเราจ่ายเงินไปแล้วและของก็เป็นของเรา

2.พี่สาวให้ยืมเงินมาแต่จะเอาคืนโดยที่จะเอาทั้งก้อน ไม่ยอมให้ผ่อน แต่เราไม่มี พี่สาวจะแจ้งว่าเรายักยอกทรัพย์ได้หรือไม่คะ เนื่องจากไม่มีหลักฐานและไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์ด้วยคะ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 12 เมื่อ 14 ธันวาคม 2555 19:53 น. [แจ้งลบ]
ตอบคำถามคุณคนมีปัญหา



            ข้อ 1. เมื่อพี่สาวขายคอมพิวเตอร์ให้แล้วคุณไม่ชำระค่าสินค้า หรือชำระไม่ครบ เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่มีความผิดอาญาใด ๆ ครับ หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่แจ้งมา พี่สาวไม่สามารถแจ้งความดำเนินคดีอาญาใด ๆ ได้ครับ



             ข้อ 2. แจ้งความดำเนินคดีอาญาไม่ได้อีกเช่นกัน เป็นเรื่องผิดสัญญากู้ยืมเงินทางแพ่ง ไม่มีความผิดอาญาใด ๆ



             ความจริงเป็นพี่น้องกันควรจะหันหน้าพูดคุยทำความเข้าใจกันดีกว่า ฝ่ายคุณเมื่อซื้อสินค้า หรือกู้ยืมเงินจากพี่สาวแล้ว ก็ควรจะชำระเงินให้ครบ จะได้ไม่มีปัญหาคาใจใด ๆ ต่อกัน รักกันไว้เถิดครับ เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน
kuhang
Guest
ตอบ # 13 เมื่อ 15 ธันวาคม 2555 17:54 น. [แจ้งลบ]
ผมเคยเป็นหัวหน้าคลังสต้อคสินค้า และเมื่อเดือนปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อทำการนับสต้อคแล้วพบว่าสินค้าได้หายไปโดยไม่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้ รวมมูลค่า 500,000บาท ทางเจ้านายจึงได้ให้ผมลงนามยอมรับการยักยอมทรัพย์สิน เมื่อผมเซ็นผมจึงขอลาออกจากงานทันที เพราะผมรับผิดชอบทั้งหมดไม่ไหว เจ้านายจึงไปแจ้งความและลงบันทึกแจ้งความไว้แล้วว่าผมได้ยักยอกทรัพย์บริษัท 500,000ไป และให้ทำการแบ่งจ่ายเงินก้อนแรกเข้าไปก่อนวันที่ 14 ธันวาคม 2555 และส่วนที่เหลือให้แบ่งจ่ายเป็นงวดๆ 10,000 บาท จนครบมูลค่า แต่เนื่องจากผมยังหางานใหม่ทำไม่ได้และไม่มีที่ไปหยิบยืมเงิน ด้วยมูลค่าที่มากมาย ผมกลัวจะโดนฟ้องและหางานทำไม่ได้ และได้ติดต่อเพื่อขอเจรจากับเจ้านายแต่เค้าไม่ตอบรับแล้ว ผมอยากทราบว่าการดำเนินการต่อไปจะถึงขึ้นไหนครับ กรณีถูกแจ้งความแล้ว ไกล่เกลี่ยแล้วในเรื่องคดียักยอกทรัพย์ของผมนี้ ผมควรจะทำอย่างไร รบกวนตอบหน่อยนะครับ ขอบพระคุณครับ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 14 เมื่อ 16 ธันวาคม 2555 11:05 น. [แจ้งลบ]
ตอบคุณkuhang

            หากคุณไม่ได้กระทำความผิดไม่ว่ากรณีใด ๆ ไม่ว่าที่ไหน ก็ไม่ควรจะทำหนังสือยอมรับว่าเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เพราะมันเป็นหลักฐานมัดตัวคุณในการดำเนินคดี 

            คดียักยอกทรัพย์นั้นกฎหมายระวางโทษจำคุกไว้ไม่เกินสามปี หากเอาไปหลายครั้งแล้วรวมกันเป็นเงินห้าแสนก็จะมีความผิดทุกครั้งที่เอาไป ครั้งละไม่เกินสามปีขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในคดีครับ 

            หากถูกดำเนินคดีไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนตำรวจหรือศาล ก็สามารถเจรจาตกลงยอมความกับผู้เสียหายได้ แต่ต้องเป็นเงื่อนไขที่ผู้เสียหายยอมรับด้วย ตำรวจและศาลไม่สามารถบังคับให้ผู้เสียหายยอมรับเงื่อนไขที่เขาไม่ยินยอมไม่ได้ครับ ดังนั้น คุณต้องเสนอเงื่อนไขที่ผู้เสียหายยอมรับได้ หรือมิฉะนั้นก็วัดดวงไปต่อสู้คดีกันในชั้นศาลว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หากสู้ไม่ได้ก็ต้องยอมรับผลคำตัดสินของศาล ขอให้โชคดีครับ 
Pp
Guest
ตอบ # 15 เมื่อ 22 ธันวาคม 2555 05:19 น. [แจ้งลบ]
สามีเป็นผจก.บริษัทประกัน เก็บเงินลูกค้าแล้วไม่ส่งบริษัท 2ล้านกว่า ได้ยอมรับกับหัวหน้างาน
บอกหัวหน้าว่า สิ้นเดือนก.พ. จะจ่ายได้ประทาณ 1ล้าน หัวหน้าบอกจะไปแจ้งซีอีโอเพื่อหาข้อตัดสิ้น ถามว่า 1.บริษัทจะฟ้องไหมคะ 2. เซ็นรับสภาพหนี้ดีไหม. 3.เค้าจะให้ประนีประนอมไหม
หัวหน้าบอกว่าจะเจรจา สองกรณีกับซีอีโอ คือ ถ้าแก้ปัญหาได้ จะให้ออกหรือให้ทำงานต่อ น่าจะเชื่อได้ไหม ขอบคุณ มากๆ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 16 เมื่อ 22 ธันวาคม 2555 23:23 น. [แจ้งลบ]
ตอบคุณ PP

           การกระทำของสามีถือเป็นความผิดกฎหมายอาญาข้อหายักยอก มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากการยักยอกเอาเงินไปจำนวน 2 ล้านบาทดังกล่าว เป็นการกระทำหลายครั้ง หรือต่างกรรมต่างวาระกัน  กฎหมายกำหนดให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนดสิบปี   



           1. บริษัทย่อมมีสิทธิแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาดังกล่าวต่อเจ้าหนักงานตำรวจได้ หรือให้ทนายความยื่นฟ้องศาลได้ทันที 



           2. การเซ็นรับสภาพหนี้ หมายถึง การทำหนังสือยืนยันหรือรับรองว่าลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้จริง และจะชดใช้ให้เจ้าหนี้ ซึ่งมีประโยชน์สำหรับเจ้าหนี้ในคดีทางแพ่ง แต่กรณีสามีคุณเป็นคดีอาญา หนังสือรับสภาพหนี้จึงเป็นหลักฐานว่า ผู้กระทำผิดรับสารภาพว่าได้กระทำผิดกฎหมายจริง



           3. บริษัทจะให้ประนอมหรือไม่ จะฟ้องหรือไม่ ผมไม่สามารถตอบแทนได้  แต่ยอดเงินกว่าสองล้านบาท ผู้เสียหายย่อมต้องดำเนินคดีจนถึงที่สุดอยู่แล้ว หากบริษัทมีหลักฐานยืนยันว่าสามีเป็นผู้กระทำผิด ย่อมไล่ออกจากงานได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และการดำเนินคดีอาญา ศาลย่อมตัดสินลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษเพราะยอดเงินที่ยักยอกมีจำนวนสูง 

           สำหรับกรณีที่สามีคืนเงินให้แก่บริษัททั้งหมด ไม่ใช่เป็นการลบล้างหรือยกเลิกความผิดที่ได้กระทำไป การคืนเงินเป็นเพียงการบรรเทาผลร้ายที่เกิดจากการกระทำความผิดเท่านั้น เพราะความผิดสำเร็จแล้ว และการที่หัวหน้าบอกว่าจะเจรจาก็เพียงเพื่อให้ได้เงินคืนทั้งหมดเท่านั้น 

           กรณีนี้ถือเป็นความผิดร้ายแรง ไม่ว่าบริษัทไหน ๆ หรือบุคคลใด ย่อมไม่ให้ทำงานต่อเพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องเสียหายหากให้ทำงานอยู่อีก และคดีนี้หากผู้บริหารบริษัททราบย่อมไล่ออกและดำเนินคดีอาญาอย่างแน่นอน และเมื่อดำเนินคดีจนศาลมีคำพิพากษา บริษัทย่อมดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลอดเอาเงินมาชดใช้ตามจำนวนที่เอาไปได้อยู่แล้ว

            ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือต้องรีบนำเงินมาคืนให้เร็วที่สุด และหากเป็นไปได้ก็ต้องให้บริษัททำหนังสือยืนยันว่าจะไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา หรือไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งอื่นใดจากสามีคุณอีก ซึ่งคดียักยอกเป็นคดีที่ยอมความกันได้ และตามกฎหมายการยอมความกันเป็นเหตุให้คดีอาญาระงับไปด้วย คือผู้เสียหายจะนำคดีมาฟ้องศาลไม่ได้ แต่การยอมความดังกล่าวจะต้องกระทำโดยกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทเท่านั้น
โสภณ
Guest
ตอบ # 17 เมื่อ 24 ธันวาคม 2555 00:41 น. [แจ้งลบ]
รบกวนหน่อยนะครับคือว่าน้องสาวถูกทางบริษัทกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์เป็นจำนวน 9 ล้านบาทและได้พาตัวไปโรงพักพอไปถึงโรงพักก็ให้เข้ากับตำรวจแล้วบอกว่าคนนี้แหละที่ยักยอกเงินของบริษัทไปตอนที่พาตัวไปโรงพักนั้นก็มี เจ้าของบริษัท หุ้นส่วน และน้องชายของเจ้าของ ทั้งหมด 3 คนที่พาไปโดยไม่ให้ใช้โทรศัพย์และติดต่อใครเลย และยังให้บังคับให้สารภาพโดยให้เขียนเป็นลายลักอักษรว่าได้ทำการยักยอกทรัพย์เงินไป 9 ล้านบาทโดยที่เขียนไปนั้นเพราะเกิดความกลัวว่าถ้าไม่เขียนจะโดยจับเข้าคุกทันที ไม่รุ้จะทำยังไงในสถานะการณ์แบบนั้นพอเขียนเสร็จยังให้พาไปที่บ้านไปนำสมุดบัญชีไปถอนเงินที่ธนาคารโดยกดเงินใน เอทีเอ็ม 10000 บาท และ ถอนเงินในบัญชีอีก 80000 บาท เป็นจำนวน 90000 บาทพอถอนเสร็จก็ให้เขียนนำฝากเข้าบัญชีของบริษัท เลยทันที โดยระหว่างที่ไปนั้นเดินประกบติดตลอดเวลา เหมือนเราเป็นผู้ต้องหาแบบนั้นเลย ในการที่เราโดนประกบนั้น ต้ังแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นจึงจะได้เป็นอิสรภาพ ก็เลยโทรปรึกษาญาติและรู้รู้จักเขาบอกว่าให้ไปแจ้งความกลับว่าโดนกักขังหน่วงเหนียวและบังคับให้เขียนยอมรับว่าทำความผิดยักยอกเงิน ต่อไปนี้จำทำยังไงดีครับ คิดอะไรไม่ออกเลย รบกวนหน่อยครับ....
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 19 เมื่อ 24 ธันวาคม 2555 21:38 น. [แจ้งลบ]
ตอบคำถามคุณโสภณ

         
ตามกฎหมายแม้บุคคลใดจะได้กระทำความผิดจริง ผู้เสียหายหรือบุคคลอื่นใดก็ไม่มีอำนาจที่จะกระทำการดังกล่าวได้ หรือแม้แต่เจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่มีอำนาจกระทำได้เช่นกัน ดังนั้น การแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำการดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะดำเนินการขั้นตอนของกฎหมายต่อไป หรือหากเจ้าพนักงานตำรวจทำงานล่าช้าหรือมีพฤติการณ์เข้าข้างคู่กรณีก็สามารถจ้างทนายความให้ฟ้องศาลโดยตรงได้เช่นกัน หรือจะร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนก็ทำได้  สิ่งที่จะแนะนำก็คงมีเพียงเท่านี้ครับ
คนขี้กลัว
Guest
ตอบ # 20 เมื่อ 31 ธันวาคม 2555 23:15 น. [แจ้งลบ]
เป็นแคชเชียร์มีหน้าที่เก็บเงินแล้วสรุปรายได้ส่งฝ่ายการเงินครับ ต่อมาหัวหน้าโดยตรงของผมซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายตรวจสอบรายได้ของบริษัทได้ให้ผมทำการแ้ก้บิลรายรับและยอดเงินแล้วยักยอกเงินไป พอถูกจับได้ก็แจ้งว่าผมเป็นผู้ร่วมยักยอกเงินด้วย ผมควรทำอย่างไร ผมไม่้ได้ไปทำงานประมาณ 1 เดือนแล้ว ทางหัวหน้าก็โทรมา บอกให้ผมเข้าไปยอมรับผิดแล้วเค้าจะเป็นคนชดใช้ค่าเสียหายเอง ส่วนผมแค่เข้าไปยอมรับผิดร่วมกับเขาเท่านั้น ถ้าไม่เข้าไปทางบริษัทจะแจ้งความดำเนินคดี ตำรวจจะออกเป็นหมายจับหรือหมายเรียกครับ
กิตติศักดิ์
Guest
ตอบ # 21 เมื่อ 2 มกราคม 2556 10:20 น. [แจ้งลบ]
ขอบคุณทนายภูวรินทร์มากครับ
ที่สละเวลาเขามาตอบคำถามให้แก่ผู้เดือดร้อน ข้องใจ ต่างๆ
ผมสังเกตุเวลาในการตอบกระทู้ของท่านเป็นช่วงดึกๆ ค่ำๆ หลังเลิกงาน นับถือมากครับ

พี่สาวผมเองก็กำลังถูกดำเนินคดีข้อหานี้อยู่
กระทู้นี้ช่วยผมได้เยอะเลยครับ

ขอส่งให้ผลบุญที่ท่านได้กระทำการเพื่อช่วยผู้เดือดร้อน
ค้ำหนุนจูนเจือให้ท่าเจริญในหน้าที่การงานต่อไปครับ

กิตติศักดิ์
ร้อนใจครับ
Guest
ตอบ # 22 เมื่อ 8 มกราคม 2556 17:01 น. [แจ้งลบ]
รบกวนครับ ผมโดนคดีข้อหายักยอกทรัพย์จำนวนเงิน 10000
ผมไปรับฟังข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ที่สน.เรียบร้อยแล้วครับ
พยายามจะไกล่เกลี่ยครับ แต่ทางบริษัทไม่มีคำตอบกลับมา
จนเจ้าหน้าที่กำลังจะส่งเรื่อง ฟ้องศาล บอกให้รับสารภาพ
1.ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ให้ไปชำระหน้าศาลได้ จิงหรือไม่ครับ
2.ถ้าทางผู้ร้องทุกข์ไม่มาด้วย และไม่ยอมความผมจะ ติดคุกไหมครับ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 23 เมื่อ 11 มกราคม 2556 23:51 น. [แจ้งลบ]
ตอบคำถามคุณคนขี้กลัว

            การกระทำของคุณแม้จะไม่ได้เป็นผู้นำเงินไป แต่ก็ถือว่าเป็นตัวการร่วมกันในการกระทำความผิด ต้องรับโทษตามกฎหมายเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อคุณมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดจริงก็ควรให้การรับสารภาพตามความจริง และหากมีการแจ้งความดำเนินคดีตำรวจจะออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา หากส่งหมายเรียกแล้วไม่ไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตำรวจจึงจะขออนุญาตศาลออกหมายจับเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป


ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 24 เมื่อ 11 มกราคม 2556 23:54 น. [แจ้งลบ]
สวัสดีปีใหม่คุณกิตติศักดิ์ 

         หากต้องการคำแนะนำหรือคำปรึกษาทางกฎหมายเบื้องต้นที่ผมพอจะช่วยได้ก็เชิญสอบถามได้ครับ ยินดีให้คำปรึกษาเสมอ


ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 25 เมื่อ 11 มกราคม 2556 23:59 น. [แจ้งลบ]
ตอบคำถามคุณคนร้อนใจ



  1. คดียักยอกเป็นคดีความผิดที่ยอมความกันได้ ดังนั้น หากคุณให้การรับสารภาพ และชดใช้เงินคืนให้แก่ผู้เสียหาย ศาลก็จะเมตตาลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษ (รอลงอาญา) หากผู้เสียหายไม่ยอมเจรจาก็แถลงขอความเมตตาจากศาลให้ช่วยไกล่เกลี่ยได้ครับ และตามกฎหมายหากมีการยอมความกันโดยชอบกฎหมาย คดีความผิดต่อส่วนตัวจะระงับ เป็นเหตุให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปด้วย คุณก็จะไม่มีประวัติทางอาญาด้วย




  2. ไม่ถึงกับติดคุกครับ คุณสามารถเขียนคำร้อง หรือให้ทนายความเขียนคำร้องประกอบคำรับสารภาพ โดยนำเงินมาวางศาลเพื่อชดใช้คืนให้ผู้เสียหาย และขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษได้




คนขี้กลัว
Guest
ตอบ # 27 เมื่อ 12 มกราคม 2556 12:36 น. [แจ้งลบ]
ขอบคุณ ทนายภูวรินทร์มากครับ ที่ช่วยให้คำปรึกษา ทำให้สบายใจขึ้นมากครับ
สุขสันต์
Guest
ceedeegat@hotmail.com
ตอบ # 28 เมื่อ 12 มกราคม 2556 21:11 น. [แจ้งลบ]
สวัสดีครับ เรื่องของพ่อผมนะครับ คือพ่อผมได้กูเงินสหกรณ์กบและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ(หยุดกิจการไปตั้งแต่ พ.ศ.2547) จำนวนหนึ่งเมื่อประมาณ10ปีที่ผ่านมา ต่อมาได้มีการส่งดอกเบี้ยมาตลอด ให้แก่ ประธานสหกรณ์ ซึ่งเก็บสมุดเงินกู้ไว้กับตัวของประธานเองโดยอ้างว่า หากให้พ่อผมเก็บไว้กลัวจะหาย!!(จากนั้นก็จะโวยวายเป็นการใหญ่) แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานคนนี้ส่งหนังสือมาเพื่อแจ้งหนี้ แต่ปรากฏว่าหนี้ไม่ลดลงทั้งต้นทั้งดอก
สิ่งที่อยากทราบ

1.ผมมีวิธีตรวจสอบเงินที่ส่งไปเพื่อชำระได้หรือไม่อย่างไร
2.หากผมโทรไปแล้วอัดคลิปเสียงจากการทวงสมุดเงินกู้แล้วจะนำไปดำเนินคดีได้หรือไม่
3.หากผมนำสมุดกลับมาได้แล้วผมควรจ่ายเงินกับประธานหรือควรรอให้สหกรณ์ฟ้องก่อนแล้วจึงค่อยจ่ายครับ

ขอขอบพระคุณไว้ล่วงหน้าครับ
เด็กชาวบ้าน
Guest
ตอบ # 29 เมื่อ 12 มกราคม 2556 22:09 น. [แจ้งลบ]
ขอปรึกษานะค่ะ
พ่อดิฉันเป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อปี2544 และได้รับมอบให้เป็นประธานกลุ่มออมทรัพย์จนหมดวาระต่อมาผู้ใหญ่บ้านคนใหม่มาดำรงตำแหน่งและได้ทำงานร่วมกับเหรัญญิกกลุ่มออมทรัพย์ได้2ปีก็ลาออกจากตำแหน่งประธานกลุ่มออมทรัพย์เนื่องจากทำงานเข้ากับเหรัญญิกไม่ได้...ถ้าดูจากเอกสารตำแหน่งประธานก็วางลง...เพราะไม่ได้มีการเลือกตั้งใดใดแต่ทางเหรัญญิกก็ใช้ชื่อพ่อดิฉันซึ่งหมดวาระไปแล้วมาดำรงตำแหน่งประธานแทน ในทางพ่อซึ่งเคยร่วมงานกันมาก็ไม่อยากให้งานมันติดขัดก็ยังมีการร่วมทำงานด้วยต่อ...แต่ในทางด้านเอกสารไม่มีการบันทึกหรือแจ้งว่าพ่อเป็นประธานอย่างเป็นทางการ
ต่อมามีการตรวจสอบบัญชีออมทรัพย์ของหมู่บ้านพบว่ามีเงินสูญหายไป400,000กว่าบาทโดยเงินทั้งหมดถูกเก็บที่บ้านเหรัญญิกตั้งแต่มีการออมเงินสมาชิกกลุ่มเป็นต้นมา..และทางผู้ใหญ่บ้านก็มีการประชุมสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ชี้แจงเรื่องเงินหายและเรียกตัวเหรัญญิกมาชี้แจ้งในที่ประชุมในวันที่๔ มิถุนายน ๒๕๕๔สรุปได้ความว่าเหรัญญิกยินยอมจะชดใช้คืนเงินให้สมาชิกแต่มีระยะเวลาตั้งแต่๕ มิถุนายน๒๕๕๔ ถึง๕ พฤศจิกายน๒๕๕๕ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการชดใช้ใดใด
ต่อมาทางผู้ใหญ่และพ่อดิฉัน(ซึ่งถูกแต่งตั้งในตำแหน่งประธานโดยไม่มีการเลือกตั้ง)ได้เดินทางไปแจ้งบันทึกประจำวันที่โรงพักถึงเหตุการณ์ข้างต้น ....ทางตำรวจจึงเรียกตัวเหรัญญิกและรองประธานมาสอบปากคำโดยเหรัญญิกให้การกับตำรวจว่าได้นำเงินกลุ่มออมทรัพย์ไปซื้อปุ๋ย เมล็ดพันธ์ยาฆ่าหญ้าโดยการรู้เห็นของประธานและรองประธาน
โดยเงินบางส่วนตนเองรับผิดชอบ เงินบางส่วนได้มาไม่ครบจำนวนจึงทำให้เงินขาดหายไป ทางเหรัญญิกแจ้งว่าผู้ที่รู้เห็นในการนำเงินไปซื้อปุ๋ยเมล็ดพันธ์ต้องรับผิดชอบร่วมกัน...
จากการสอบถามจากคณะกรรมกลุ่มออมทรัพย์พบว่าการดำเนินการจำหน่ายปุ๋ยและเมล็ดพันธ์ผู้ที่ดำเนินการคือเหรัญญิกและรองประธานให้กลุ่มสมาชิกซื้อในเงินเชื่อและมีการจ่ายเงินกันในปีถัดไป โดยเงินส่วนนี้จ่ายผ่านรองประธานและรองประธานนำไปส่งเหรัญญิก (ไม่ได้แสดงในบันทึกประจำวันของตำรวจ)
จากการสอบถามแล้วได้ความว่า เหรัญญิกเป็นผู้ถือเงินทั้งหมดไว้ที่ตนเอง เหตุครั้งนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ ทราบตัวผู้ยักยอกเงินตั้งแต่วันที่๕มิถุนายน๒๕๕๔ หากจะร้องทุกแนะนำให้ไปดำเนินการทางแพ่งต่อไป และพ่อดิฉันลงซื่อ ฐานะผู้แจ้งพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน ส่วนเหรัญญิกลงชื่อในฐานะคู่กรณี รองประธาน ลงชื่อในฐานะคู่กรณี

***จากเหตุการณ์ข้างต้นดิฉันจะขอเรียนปรึกษาว่าพ่อดิฉันจะมีความผิดร่วมกับเขาไหมค่ะและคำว่ารู้เห็นมีผลทางกฎหมายอย่างไรบ้าง
***ถ้าขึ้นศาลจริงๆๆโอกาสชนะหรือสมาชิกได้เงินคืนมีไหมค่ะ และใครมีความผิดบ้าง
***ถ้าเหรัญญิกเขาไม่ยอมชดใช้ จะต้องติดคุกกี่ปี
ขอบคุณมากค่ะ””ช่วยตอบให้หน่อยนะค่ะถือว่าทำเพื่อชาวบ้านที่เขาไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายและเงินออมทั้งชีวิตของพวกเขาด้วยนะค่ะ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 30 เมื่อ 14 มกราคม 2556 22:33 น. [แจ้งลบ]


ตอบคำถามคุณสุขสันต์

        เมื่อมีการชำระหนี้ ต้องขอหลักฐานการชำระเงินหรือใบเสร็จรับเงินทุกครั้ง หรือให้ผู้ให้กู้สลักในหลักฐานการกู้เงินว่ามีการชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยไปแล้วจำนวนเท่าใด หากไม่มีอะไรเลย ก็ถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะหากจ่ายหนี้ครบแล้วหรือบางส่วน แต่ผู้ให้กู้ไม่สุจริต เรียกร้องเงินกู้คืนทั้งหมด หรือเป็นจำนวนที่ไม่ถูกต้อง ผู้กู้จะเอาหลักฐานอะไรมาหักล้าง จะพิสูจน์ว่าได้ชำระหนี้ไปแล้วอย่างไร ดังนั้น ผู้กู้ต้องรอบคอบเสมอ เพราะวันเวลาผ่านไป ใครๆก็มักจะลืมทั้งสุจริตและไม่สุจริต การทำอะไรก็ตามต้องมีหลักฐานเสมอ ไม่งั้นก็ต้องทุกข์ใจแบบนี้ครับ



        ทีนี้มาดูหลักกฎหมายกันว่ามีบทบัญญัติไว้หรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีหลักเกี่ยวกับการกู้ยืมไว้ว่า "การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่" และในการชำระหนี้ว่า "ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงิน (การชำระหนี้) ได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว"



        ก่อนอื่นคุณต้องทราบก่อนว่า สมุดเงินกู้ เป็นเอกสารของฝ่ายไหน เพราะโดยปกติแล้วก็ต้องมีทั้งสองฝ่าย หากเล่มที่เป็นของผู้กู้ ๆ ก็ต้องเป็นผู้เก็บรักษา จะไปอยู่ในมือของผู้ให้กู้ได้อย่างไร และทุกครั้งที่ชำระหนี้ได้มีการลงรายการไว้ในสมุดเงินกู้ของทั้งสองฝ่ายหรือไม่ หากลงไว้ก็ใช้เป็นหลักฐานว่ามีการชำระหนี้แล้วได้ และสามารถขอสมุดของผู้กู้คืนได้ สิ่งสำคัญหากไม่มีการลงรายละเอียดการชำระหนี้ไว้ สมุดเล่มนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับผู้กู้ เพราะหลักกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า หากการกู้เงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ จะนำสืบพิสูจน์การใช้เงินคืน ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดง หรือเอกสารกู้เงินได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนในเอกสารนั้นแล้ว การใช้คลิปเสียงเป็นพยานหลักฐานจึงไม่มีประโยชน์เพราะมีน้ำหนักน้อยมาก



        สุดท้าย เมื่อเป็นหนี้ก็ต้องชำระหนี้ จะชำระก่อนฟ้องหรือหลังฟ้องก็ได้ สุดแล้วแต่ความสามารถและสถานการณ์ของผู้เป็นหนี้ 

 


 


ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@gmail.com
ตอบ # 31 เมื่อ 14 มกราคม 2556 23:05 น. [แจ้งลบ]


ตอบคำถามเด็กชาวบ้าน

        เมื่อพ่อคุณไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำความผิด คือไม่ได้แบ่งหน้าที่กันทำโดยมีเจตนาร่วมกันกระทำผิดโดยทุจริตเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ก่อนหรือขณะกระทำความผิด  ก็ไม่มีความผิดตามกฎหมายแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่รู้ว่าบุคคลอื่นกระทำความผิด แต่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จึงไม่เป็นความผิด ดูคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1817/2552 การที่ผู้ใดรับรู้ว่าผู้อื่นจะกระทำความผิดหรือกระทำความผิดแล้ว จะถือว่าผู้นั้นมีส่วนร่วมกระทำความผิดหรือสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดด้วยไม่ได้



        เมื่อมีการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี เจ้าพนักงานตำรวจย่อมต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเอาตัวผู้กระทำความผิดมาฟ้องลงโทษ ผู้ใดจะมีความผิด หรือโอกาสที่จะชนะคดีหรือให้ศาลพิพากษาลงโทษก็ต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนเท่านั้น คดียักยอกกฎหมายระวางอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี แต่ส่วนจะติดคุกกี่ปีนั้น เป็นดุลพินิจของศาลเท่านั้น ผู้ที่ไม่ใช่ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนั้น จึงไม่อาจตอบได้ครับ  



        สำหรับคดีแพ่งนั้น ตามกฎหมายคดีนี้เมื่อมีการดำเนินคดีอาญา พนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องจะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยยักยอกคืนให้แก่ผู้เสียหายด้วย แต่เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินคืนแล้ว ผู้เสียหายจะได้รับเงินจำนวนนั้นหรือไม่ ก็ต้องไปดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป หากจำเลยมีทรัพย์สินโอกาสที่จะได้เงินคืนย่อมมีสูง แต่หากเป็นบุคคลตัวเปล่าก็แทบจะหมดโอกาสได้เงินคืนครับ



        การดำเนินคดีแพ่งหรือคดีอาญา มีขั้นตอนสำคัญประการหนึ่งคือ การไกล่เกลี่ย หรือวิธีการแบบสมานฉันท์ ก่อนการสืบพยาน เพราะหากตกลงกันได้ โดยจำเลยยอมคืนเงินที่ยักยอกไป ก็อาจมีข้อตกลงให้ถอนฟ้องหรือถอนคำร้องทุกข์เพื่อให้คดีอาญาระงับได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้เสียหายว่าจะเอาเงินคืน หรือให้จำเลยถูกศาลตัดสินจำคุก แต่หากจะเอาทั้งเงินทั้งให้ติดคุก ก็ต้องไม่ไกล่เกลี่ยแล้วสืบพยานหลักฐานไป และหากศาลตัดสินลงโทษจำคุกจำเลย ผู้เสียหายก็ต้องไปดำเนินการบังคับคดีตามที่ได้ตอบไปแล้วในวรรคก่อนครับ




หลักกฎหมายอ้างอิง

ประมวลกฎหมายอาญา หมวดความผิดฐานยักยอก

        มาตรา 352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคล ที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์ สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียง กึ่งหนึ่ง

        มาตรา 353 ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นหรือ ทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วย ประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 354 ถ้าการกระทำความผิดตาม
มาตรา 352 หรือ มาตรา 353 ได้กระทำในฐานที่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของ ผู้อื่น ตามคำสั่งของศาล หรือตามพินัยกรรม หรือในฐานเป็นผู้มีอาชีพ หรือธุรกิจ อันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ผู้กระทำต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 355 ผู้ใดเก็บได้ซึ่งสังหาริมทรัพย์อันมีค่า อันซ่อนหรือฝัง ไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดอ้างว่าเป็นเจ้าของได้ แล้วเบียดบังเอา ทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        มาตรา 356 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้


 


สุขสันต์
Guest
ตอบ # 32 เมื่อ 15 มกราคม 2556 12:38 น. [แจ้งลบ]
ขอขอบพระคุณมากครับ

ทนายภูวรินทร์
เมธาวี
Guest
mezosis@hotmail.com
ตอบ # 33 เมื่อ 15 มกราคม 2556 17:58 น. [แจ้งลบ]
ขอความกรุณาช่วยตอบข้อข้องใจด้วยครับ

1.เราสามารถแจ้งความยักยอกทรัพย์กับ บริษัท(มหาชน)ด้วยการระบุชื่อ กรรมการผู้มีอำนาจ เซ็นสัญญาได้ ไหมครับ
2.ถ้าได้ผมจะแจ้งกับ สน.ใดก็ได้ใช่ไหมครับ โดยใช้เอกสารแสดงการเริ่มผิดสัญญา เวลาไม่เกิน 3 เดือน พร้อมหนังสือแสดงการติดตามทวงหนี้กับบริษัทมีคนเซ็นรับ

ตอนแรกอยากฟ้อง สคบ. แต่เท่าที่อ่านดูก็เพียงเรียกไปไกล่เกลี่ย ซึ่งคนต้นปัญหาก็ไม่เดือดร้อนอะไรที่ผ่านมาก็ให้เราคุยแต่คนที่ไม่มีอำนาจ ทนายมีอะไรชี้แนะเพิ่มเติมมั๊ยครับ

ขอบคุณครับ

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... 24

Reply ตอบกลับกระทู้

ตัวหนา ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ ตัวขีดกลาง ชิดซ้าย กึ่งกลาง ชิดขวา รูปภาพ ลิ้งก์ ขนาดต้วอักษร สีต้วอักษร

    แนบไฟล์ :
(ขนาดไฟล์ไม่เกิน 2 MB.)
    ผู้เขียน : *
    E-mail : *
 ไม่ต้องการแสดง E-mail
    รหัสตรวจสอบ : Security Image
* กรุณากรอกรหัสที่อยู่ในรูป
Copyright by www.phuwarinlawyer.com
Engine by MAKEWEBEASY