ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ
   ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ
   ศาลยุติธรรม
   ศาลแพ่ง
   ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
   ศาลอาญา
   ศาลอาญากรุงเทพใต้
   ศาลอาญาธนบุรี
   ศาลแพ่งธนบุรี
   ศาลจังหวัดตลิ่งชัน
   ศาลจังหวัดมีนบุรี
   ศาลแขวงพระนครเหนือ
   ศาลแขวงพระนครใต้
   ศาลแขวงปทุมวัน
   ศาลแขวงดุสิต
   ศาลแขวงธนบุรี
   ค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกา
   ค้นหากฎหมายไทย
   อัตราค่าส่งหมายทั่วประเทศ
   ดาวน์โหลดแบบฟอร์มศาลยุติธรรม
   เนติบัณฑิตยสภา
   สภาทนายความ
   กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
   สนง.คณะกรรมการกฤษฎีกา
   ห้องสมุดกฎหมายไทย 1.1
   ห้องสมุดกฎหมายไทย 2.1
   ห้องสมุดกฎหมายไทย 2.2
   ห้องสมุดกฎหมายคณะกรรมการกฤษฎีกา
สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 2
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 29
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 2,478,398
 เปิดเว็บ 02/06/2553
 ปรับปรุงเว็บ 17/02/2565
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
1 มิถุนายน 2566
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
    
10 
11  12  13  14  15  16  17 
18  19  20  21  22  23  24 
25  26  27  28  29  30   
             
 Webboard

การตอบคำถามทางเว็บไซท์ http://www.phuwarinlawyer.com/ 
เป็นเพียงความคิดเห็นเบื้องต้นทางกฎหมายซึ่งได้วินิจฉัยและตอบคำถามจากข้อเท็จจริงเพียงเท่าที่ปรากฏเท่านั้น
โดยอาจมีรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้ถามมิได้แจ้งข้อมูลมาอย่างครบถ้วนที่จะประกอบการวินิจฉัยอย่างเพียงพอ
ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจ
**************************************************************

ติดต่อปรึกษาทางโทรศัพท์  081-9250-144 หรือ Line ID 081-9250-144
**กรณีหากไม่รับสายแสดงว่าติดภารกิจศาลหรือติดงาน กรุณาโทรติดต่อใหม่อีกครั้ง**

lawyer.makewebeasy.com > ปรึกษาปัญหากฎหมายทั่วไป > การสิ้นสุดการสมรส & เหตุผลที่จะฟ้องหย่า
  ผู้เขียน
 หัวข้อ : การสิ้นสุดการสมรส & เหตุผลที่จะฟ้องหย่า (อ่าน 57559) 
5138
 
webmaster
Admin
Phuwarin2549@hotmail.com
เมื่อ 22 มีนาคม 2553 02:57 น.
การสิ้นสุดการสมรส

เมื่อมีการสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วการสมรสนั้น จะสิ้นสุดลงด้วยเหตุต่าง ๆ ดังนี้

      ๑. เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย 

      ๒. เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนเพราะการสมรสนั้นตกเป็นโมฆียะ

          (ขอให้ดูเรื่องการสมรสที่เป็นโมฆียะ)

      ๓. โดยการหย่าซึ่ง การหย่านั้น ทำได้ ๒ วิธี

           ๓.๑ หย่าโดยความยินยอม
คือ กรณีที่ทั้งคู่ตกลงที่จะหย่ากันได้เอง กฎหมายบังคับว่าการหย่าโดยความยินยอมนั้นต้องทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อย ๒ คนและถ้าการสมรสนั้นมีการจดทะเบียนสมรส (ตามกฎหมายปัจจุบัน)        

         การหย่าก็ต้องไปจดทะเบียนหย่าต่อนายทะเบียน ที่อำเภอหรือกิ่งอำเภอด้วย มิฉะนั้นการหย่าย่อมไม่สมบูรณ์

           ๓.๒ หย่าโดยคำพิพากษาของศาล กรณีคู่สมรสฝ่ายหนึ่งประสงค์จะหย่าแต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการหย่า จึงต้องมีการฟ้องหย่าขึ้น 

เหตุที่จะฟ้องหย่าได้คือ

     
 (1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามีเป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

       (2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความ ผิดอาญาหรือไม่ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

            (ก)ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

            (ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ

            (ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ

      อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

      (3) สามีหรือภริยาทำร้ายหรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

      (4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

           (4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกิน ควรอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

           (4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

      (5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปี โดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่าง ไรอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

      (6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตาม สมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอา สภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

      (7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมี ลักษณะยากจะหายได้กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกัน ฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

      (8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

      (9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรัง ไม่มีทางที่จะหายได้อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

     (10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกายทำให้สามีหรือภริยานั้น ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้


*********************************************************************


      อนึ่ง การฟ้องหย่านั้น ต้องอ้างเหตุฟ้องหย่าตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังกล่าวแล้วเท่านั้น และจะต้องพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่า ฝ่ายที่ถูกฟ้องหย่าได้ประพฤติตนไม่สมควรแก่การเป็นสามีภรรยากัน หรือกระทำการอันเป็นเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุฟ้องหย่าด้วย ศาลจึงจะพิพากษาให้หย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน  



      ดังนั้น การฟ้องหย่าจึงไม่สามารถอ้างเหตุว่า คู่สมรสเข้ากันไม่ได้  หรือไม่รักกันแล้ว  หรืออยู่ด้วยกันไม่ได้ หรือไม่มีเยื่อใยต่อกัน หรือไม่มีเพศสัมพันธ์กัน  เป็นต้น เรื่องนี้ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาวินิจฉัยถึงเหตุที่จะเอามาอ้างฟ้องหย่าว่าต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจนเท่านั้น คือ       คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2543 “เหตุฟ้องหย่าอันที่มิใช่เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 นั้น โจทก์ต้องพิสูจน์ให้ศาลเชื่อได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายประพฤติตนไม่สมควรหรือกระทำการอันเข้าเงื่อนไขที่มาตรา 1516 ได้ระบุไว้ นอกจากอนุมาตรา(4/2) ส่วนเหตุฟ้องหย่าที่เกิดจากความสมัครใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายก็ต้องเกิดจากความสมัครใจโดยแท้จริงของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย มิใช่สมัครใจเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น หากพฤติการณ์แห่งคดีมิได้เป็นไปดังที่ได้กล่าวมาทั้งสองกรณีนี้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย แม้ว่าจะมิได้อยู่ร่วมกัน หรือไม่มีเยื่อใยต่อกัน และไม่มีความหวังที่จะคืนดีกันอีกแล้วก็ตาม



       แม้จะถูกฟ้องหย่าหลายครั้ง จำเลยก็ไม่เคยคิดที่จะฟ้องหย่าโจทก์หรือมีความประสงค์ที่จะหย่าขาดจากโจทก์แต่อย่างใด รวมทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีพฤติกรรมในทำนองชู้สาวกับชายอื่นหรือนอกใจโจทก์ ตรงข้ามกับโจทก์ซึ่งมีพฤติกรรมอันส่อแสดงว่านอกใจจำเลยและยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา จึงเป็นเหตุที่ทำให้จำเลยต้องทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยและสำนักราชเลขาธิการ รวมทั้งทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงต่อบิดาและมารดาของหญิงที่ยุ่งเกี่ยวกับสามีของตน ตลอดจนฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงนั้นด้วย การที่จำเลยต้องกล่าวพาดพิงถึงโจทก์ในหนังสือร้องเรียนและเบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงนั้นแม้ถ้อยคำบางคำอาจเกินเลยและรุนแรงไปบ้างก็ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยกล่าวด้วยความหึงหวงในตัวสามีอันเป็นธรรมชาติของภริยาโดยทั่วไป ทั้งเป็นการกล่าวโดยสุจริต โดยชอบธรรมเพื่อป้องกันส่วนได้เสียตามคลองธรรม จึงมิใช่เป็นการหมิ่นประมาท ดังนั้น ถ้อยคำดังกล่าวมิใช่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงอันต้องด้วยเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(3) อีกทั้งพฤติการณ์ระหว่างโจทก์และจำเลยยังมิใช่กรณีที่สมัครใจแยกกันอยู่ตามมาตรา 1516(4/2) แต่เป็นกรณีโจทก์เป็นฝ่ายแยกไปเองโดยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา เมื่อจำเลยมิได้ประสงค์จะหย่าขาดจากโจทก์โจทก์ก็ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าจำเลยได้”


แก้ไขเมื่อ 3 ตุลาคม 2562 19:29 น.
นางบุญมี
Guest
ตอบ # 2 เมื่อ 30 พฤษภาคม 2553 11:17 น. [แจ้งลบ]
มีเรื่องรบกวนคุณทนายภูวรินทร์ค่ะ

ข้อ (๑๐) สามีหรือภริยาทำผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือ ในเรื่องความประพฤติ อีก

ฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ เช่น สามีขี้เหล้า ชอบเล่นการพนัน ย่อมทำหนังสือทัณฑ์บนไว้กับ

ภริยาว่าตนจะไม่ประพฤติเช่นนั้นอีก แต่ต่อมากลับฝ่าฝืน เช่นนี้ ภริยาฟ้องหย่าได้


แฟนของดิฉันชอบกินเหล้ามาก มากจนระยะหลังที่บริษัทเลิกจ้างงานและทุกวันนี้กลายเป็น
ดิฉันต้องหาเลี้ยงแฟน

ทุกวันต้องเอาเงินมาให้เค้าก่อนไปทำงาน ปัจจุบันดิฉันมีลูกสาวคนนึง กลัวมากว่าจะติดภาพ
พ่อที่กินเหล้าแล้วเหมือนเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีกับลูก
ถามว่ารักเค้าไหม รักมากค่ะ แต่ระยะหลังเริ่มไม่ไหว คือเค้าเริ่มมีเมียน้อย แล้วเมื่อเดือนกพ.
เค้าเอาลูกดิฉันไปอยู่ที่ห้องที่เค้าอยู่กับเมียน้อยตอนที่ดิฉันไปทำงาน
ดิฉันกลับมาไม่เจอแต่มารู้จากปากลูก น้ำตาร่วงเลยค่ะ.....ผู้ชายที่ฉันรัก ไม่นึกว่าจะเป็นแบบนี้
ทั้งที่ดิฉันหากินทำงานเหนื่อยแทบขาดใจ (เป็นแม่บ้านดูแลผู้สูงอายุ)บางทีต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว
คนอื่น...ลำบากได้ไม่ว่าเพื่อลูก เพื่อแต่นี่ต้องเลี้ยงสามีที่แอบไปมีเมียน้อยให้เสียใจทุกคืน
อีกอย่าง ดิฉันไม่ได้กลับบ้านทุกวันค่ะ แทบไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตคุยโทรศัพท์เลยเพราะต้อง
ดูแลคนสูงอายุแบบค้างคืน จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้านอกใจค่ะ...ดิฉันก็ทำใจแล้วเพราะ
เรียนมาน้อย ไม่มีทางเลือก

ถ้ารักแล้วต้องทนเป็นเมียหลวงที่สามีมีเมียน้อยแล้ว
ดิฉันก็ทนไม่ไหวค่ะ แต่ก็กลัวเค้าไม่ยอมหย่าเพราะเค้าไม่ได้ทำงานทุกวันนี้
ฉันต้องเลี้ยงเค้า จ่ายเงินให้เค้ากินอยู่ทุกวันค่ะ

ขอถามคุณทนายภูวรินทร์ค่ะว่า ดิฉันจะหย่าจากสามีดิฉันได้อย่างไรบ้างคะ
แบบถูกต้องตามกฎหมาย

ดิฉันไม่รู้เรื่องกฎหมาย เรียนมาน้อยขอแบบภาษาคนใช้เข้าใจนะคะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 3 เมื่อ 3 มิถุนายน 2553 21:52 น. [แจ้งลบ]

สวัสดีครับ ขออนุญาตตอบคำถามเรื่องการฟ้องหย่าดังนี้นะครับ

กรณีของคุณฟ้องหย่าได้ครับ

         ตามเหตุฟ้องหย่า  (๑), (๖) และ (๘)  และควรฟ้องเพิกถอนอำนาจปกครองบุตรของสามีไปพร้อมกันด้วยนะครับ



เหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายมีดังต่อไปนี้

         (๑) สามีหรือภริยา อุปการะเลี้ยงดู หรือ ยกย่อง ผู้อื่น ฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้ หรือ มีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับ ผู้อื่น เป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่ง ฟ้องหย่าได้



         (๒) สามีหรือภริยา ประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้น จะเป็นความผิดอาญา หรือไม่ ถ้า เป็นเหตุให้ อีกฝ่ายหนึ่ง

                (ก) ได้รับ ความอับอายขายหน้า อย่างร้ายแรง

                (ข) ได้รับ ความดูถูกเกลียดชัง เพราะเหตุที่ คงเป็น สามีหรือภริยา ของฝ่ายที่ประพฤติชั่ว อยู่ต่อไป หรือ

                 (ค) ได้รับ ความเสียหาย หรือ เดือนร้อนเกินควร ในเมื่อเอา สภาพ ฐานะ และ ความเป็นอยู่ร่วมกัน ฉันสามีภริยา มาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ฟ้องหย่าได้

         (๓) สามีหรือภริยา ทำร้าย หรือ ทรมาน ร่างกายหรือจิตใจ หรือ หมิ่นประมาท หรือ
เหยียดหยาม อีกฝ่ายหนึ่ง หรือ บุพการี ของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ฟ้องหย่าได้

         (๔) สามีหรือภริยา จงใจละทิ้งร้าง อีกฝ่ายหนึ่งไป เกิน หนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ฟ้องหย่าได้

        (๔/๑) สามีหรือภริยา ต้องคำพิพากษา ถึงที่สุด ให้จำคุก และ ได้ถูกจำคุกเกิน หนึ่งปี ในความผิด ที่อีกฝ่ายหนึ่ง มิได้มีส่วน ก่อให้เกิด การกระทำความผิด หรือ ยินยอม หรือ รู้เห็นเป็นใจ ในการกระทำความผิดนั้นด้วย และ การเป็นสามีภริยากันต่อไป จะเป็นเหตุให้ อีกฝ่ายหนึ่ง ได้รับความเสียหาย หรือ เดือดร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ฟ้องหย่าได้

        (๔/๒) สามีและภริยา สมัครใจแยกกันอยู่ เพราะเหตุที่ ไม่อาจอยู่ร่วมกัน ฉันสามีภริยา ได้โดยปกติสุข ตลอดมาเกิน สามปี หรือ แยกกันอยู่
ตามคำสั่งของศาล เป็นเวลาเกิน สามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฟ้องหย่าได้

         (๕) สามีหรือภริยา ถูกศาลสั่งให้เป็น
คนสาบสูญ หรือ ไปจากภูมิลำเนาหรือ ถิ่นที่อยู่ เป็นเวลาเกิน สามปี โดยไม่มีใครทราบแน่ว่า เป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่ง ฟ้องหย่าได้

          (๖) สามีหรือภริยา ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดู
อีกฝ่ายหนึ่ง ตามสมควร หรือ ทำการเป็นปฏิปักษ์ ต่อการที่เป็น สามีหรือภริยากัน อย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้า การกระทำนั้น ถึงขนาดที่ อีกฝ่ายหนึ่ง เดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอา สภาพ ฐานะ และ ความเป็นอยู่ร่วมกัน ฉันสามีภริยา มาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ฟ้องหย่าได้

            (๗) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่ง ฟ้องหย่าได้

            (๘) สามีหรือภริยา ผิดทัณฑ์บน ที่ทำให้ไว้
เป็นหนังสือในเรื่อง ความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่ง ฟ้องหย่าได้

            (๙) สามีหรือภริยา เป็นโรคติดต่อ อย่างร้ายแรง อันอาจเป็นภัย แก่อีกฝ่ายหนึ่ง และ โรคมีลักษณะ เรื้อรัง ไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ฟ้องหย่าได้

            (๑๐) สามีหรือภริยา มีสภาพแห่งกาย ทำให้ สามีหรือภริยานั้น ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่ง ฟ้องหย่า


แก้ไขเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2560 10:16 น.
Cvv1810
Guest
ตอบ # 4 เมื่อ 10 มิถุนายน 2553 09:24 น. [แจ้งลบ]
ผมเป็นคนไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาประมาณ 30 กว่าไปแล้ว ไปตั้งแต่ยังเป็นทีนเอจ เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้วผมได้ลาพักร้อนกลับไปเที่ยวเมืองไทยเป็นเวลา 3 อาทิตย์ ก็ได้ไปรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเพื่อนผมที่เมืองไทยพามารู้จัก เธอก็อาสาพาผมเที่ยวเมืองไทยเนื่องจากที่ผมไม่ได้กลับไปเมืองไทยนานมากแล้ว และเราก็มีอะไรกัน (ในขณะนั้นเธอเองก็มีแฟนอยู่แล้ว ซึ่งผมมาทราบภายหลังจากที่ได้แต่งงานกับเธอแล้ว)

จากนั้นผมก็กลับต่างประเทศ ไม่นานนัก...เธอโทรมาบอกว่าเธอได้ตั้งท้องกับผม และเธอเป็นข้าราชการพลเรือนจึงไม่สามารถตั้งท้องโดยไม่แต่งงานได้ ผมจึงได้บินกลับเมืองไทยอีกครั้งเพื่อไปจัดการแต่งงานจดทะเบียนกับเธอ และเราคุยกันว่าเธอจะมาอยู่กับผมที่ต่างประเทศนี้

หลังจากแต่งงาน ผมบินกลับต่างประเทศและได้ให้ทนายเตรียมเอกสารเพื่อที่จะทำเรื่องในการนำเธอมาอยู่ด้วยกันในต่างประเทศ แต่เธอก็ผลัดผ่อนการมาอยู่กับผมเรื่อยมา

จากนั้นมาทุกปีผมจะใช้เวลาพักร้อนที่ผมมีปีละสามอาทิตย์บินไปหาเธอที่เมืองไทย แต่ผมก็มิได้เคยพักที่บ้านเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากเธอบอกผมว่ามันไม่สะดวกสบาย ผมจึงพักที่โรงแรมทุกครั้ง และเธอก็จะพาลูกและตัวเธอมาหาผมที่โรงแรม เธอมานอนค้างที่โรงแรมกับผมบ้างบางครั้ง และทุกครั้งปีที่กลับเมืองไทยผมจะให้เงินก้อนนึงไว้ให้เธอใช้จ่ายทั้งปี และยังมีส่งให้เพิ่มในระหว่างปี ตามที่เธอเดือนร้อนและขอเป็นระยะๆ

มีครั้งหนึ่งที่ผมเคยจะไปรับเธอที่ทำงาน เธอก็ขอร้องไม่ให้ไปเนื่องจาก แฟนเก่าซึ่งผมเองก็ไม่เคยทราบมาก่อน ได้เธอมารอที่ทำงานเธอจึงเกรงว่าจะมีเรื่องในที่ราชการ จึงขอร้องไม่ให้ผมไป ตกลงผมจึงไม่ไปตามที่เธอขอร้อง

วันเวลาผ่านไป ผมก็ไม่เห็นว่าเธอต้องการจะมาอยู่กับผมหรือแม้แต่ผมเสนอให้เธอลองมาเที่ยวดูก่อน เธอก็ไม่มา ผมจึงบอกเธอว่าผมจะรอห้าปี หากยังไม่มาเราก็ควรจะเลิกกันไป

ห้าปีกว่าผ่านไป... ผมจึงขอเลิกกับเธอ และผมก็ไม่ได้กลับเมืองไทยมาเกือบสองปีแล้ว

ผมได้บอกกับเธอว่า "ผมก็ใกล้ที่จะเกษียรงานแล้ว จากสภาพ เศรษฐกิจ สุขภาพ สถานะ และจิตใจ ที่เราได้ห่างเหินกันจนไม่มีทางที่เราจะได้มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกันได้ ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศและจะไม่กลับเมืองไทย เวลาห้าปีกว่าที่ผ่านมา ได้ทำให้รู้ว่า เราไม่ควรดันทุรัง ยื้อที่จะอยู่กันแบบนี้ต่อไปอีกเลย เราควรที่จะหย่าขาดจากกัน เพื่อเราสองคนจะได้ตั้งต้นชีวิตใหม่ในทางของตนเอง ไม่ต้องรอความหวังที่เป็นไปไม่ได้ สำหรับเรื่องลูกเราจะช่วยกันดูแล ให้เขามีการศึกษาและความเป็นอยู่ที่ดี เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมในภายภาคหน้า"

ผมพยายามติดต่อเจรจา ทั้งทางโทรศัพท์และส่งอีเมล์ขอหย่าขาดจากเธอ แต่เธอไม่ยอมหย่าให้ผม โดยอ้างว่าเธอไม่ต้องการให้ลูกเธอไม่มีพ่อ

ผมไม่ได้อยู่เมืองไทยมา 30 กว่าปีแล้ว และก็ไม่ทราบว่าจะไปเริ่มต้นหาทนายจากที่ไหนที่สามารถจะทำเรื่องร้องต่อศาลขอหย่าได้อย่างไร

ผมอยากทราบว่าลูกเป็นลูกของผมจริงรึเปล่า ศาลจะสามารถสั่งให้ตรวจ DNA เด็กได้รึเปล่าครับ

หากใครมีคำแนะนำว่าผมจะติดต่อทนายได้ที่ไหน ทำอย่างไร ช่วยตอบผมด้วย ขอบคุณครับ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 5 เมื่อ 11 มิถุนายน 2553 10:19 น. [แจ้งลบ]
สวัสดีครับท่าน ขออภัยครับที่ตอบช้า เมื่อวานนี้ผมตอบไปแล้วแต่อินเตอร์เน็ตมีปัญหา


            ตามที่ท่านถามปัญหามานั้น ผมขอตอบในเชิงกฎหมายเท่านั้นนะครับทำได้แค่ไหนเพียงไร


            ประเด็นที่หนึ่งเรื่องหย่า เหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายหมายนั้นจะปรากฏตามหัวข้อคำตอบของกระทู้ก่อน ๆ ซึ่งท่านสามารถหาอ่านได้ครับ ส่วนข้อเท็จจริงกรณีของท่านน่าจะเข้าเหตุฟ้องหย่ามาตรา 1516 (4/2) คือ "สามีและภริยา สมัครใจแยกกันอยู่ เพราะเหตุที่ ไม่อาจอยู่ร่วมกัน ฉันสามีภริยา ได้โดยปกติสุข ตลอดมาเกิน สามปี หรือ แยกกันอยู่ ตามคำสั่งของศาล เป็นเวลาเกิน สามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฟ้องหย่าได้"

            ตามมาตรานี้ จะต้องเป็นกรณีที่เกิดจากความสมัครใจของสามีภริยาทั้งสองฝ่าย และจะต้องเกิดจากความสมัครใจที่จะแยกกันอยู่โดยแท้จริงของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย มิใช่สมัครใจเพียงฝ่ายเดียวนะครับ กรณีของท่านก็ก้ำกึ่งครับว่าอาจจะเป็นความสมัครใจของท่านฝ่ายเดียวหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงที่เขียนมาประกอบกับพฤติการณ์อื่น ๆ เช่น ท่านได้ชักชวนและขวนขวายให้ภรรยามาอยู่ด้วยกันที่ต่างประเทศหลายครั้งหลายหน ตลอดจนเสนอให้มาเที่ยวที่ต่างประเทศดูก่อน แต่ภรรยาก็ไม่ต้องการที่จะมาอยู่ด้วยกัน และไม่ประสงค์จะมาเที่ยวด้วยนั้น อาจจะเข้าลักษณะการสมัครใจแยกกันอยู่โดยปริยายครับ ซึ่งเมื่อฟ้องตามมาตรานี้จะต้องมีการสืบพยานหลักฐานให้ศาลเห็นพฤติการณ์ต่าง ๆ ประกอบด้วย เช่น มีการส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูภรรยาอีกหรือไม่ ระหว่างที่ท่านอยู่ต่างประเทศภรรยามีผู้ชายอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องไหม หรือท่านมีคนรักอื่นหรือไม่ และฝ่ายภรรยาเคยติดต่อท่านที่ต่างประเทศอยู่หรือไม่ เป็นต้น ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดส่วนตัวผมขอให้ท่านส่งรายละเอียดดังกล่าวมาทางอีเมลล์เพื่อจะได้ตอบให้กระจ่างครับ


           ประเด็นที่สอง เรื่องตรวจดีเอ็นเอนั้น หากไม่มีคดีที่ศาลก็ต้องเกิดจากความยินยอมพร้อมใจหรือความสมัครใจกันทั้งสองฝ่าย แต่หากมีคดีกันที่ศาลก็ต้องเป็นประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับเรื่องเด็กเป็นบุตรของฝ่ายชายโดยตรงด้วยครับ ศาลจึงจะมีคำสั่งให้ตรวจดีเอ็นเอของเด็ก นอกจากนี้ การตรวจดีเอ็นเอเพื่อทราบผลเบื้องต้นก็อาจทำได้ด้วยวิธีนำอวัยวะต่าง ๆ เช่น  เส้นผม ไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน


            แต่ตามที่ท่านเขียนมานั้น กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า "เด็กที่เกิดจากหญิงขณะเป็นภริยาชายคือจดทะเบียนสมสรกัน เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีครับ แต่กฎหมายก็ให้สิทธิฝ่ายชายผู้เป็นสามีจะไม่รับเด็กเป็นบุตรของตนได้ โดยฟ้องเด็กกับมารดาเด็กร่วมกันเป็นจำเลย และพิสูจน์ได้ว่าตนไม่ได้อยู่ร่วมกับมารดาเด็กในระยะเวลาตั้งครรภ์ หรือตนไม่สามารถเป็นบิดาของเด็กได้เพราะเหตุอย่างอื่น" ซึ่งจะต้องเป็นเหตุสองอย่างนี้เท่านั้นครับถึงจะฟ้องได้ นอกจากนี้ "ชายผู้เป็นสามีก็จะฟ้องไม่รับเด็กเป็นบุตรไม่ได้ ถ้าปรากฏว่าตนเป็นผู้แจ้งการเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิด หรือจัด หรือยอมให้มีการแจ้งดังกล่าว"


            การฟ้องเพื่อขอให้ตรวจโดยวิธีนี้ ท่านจะต้องมั่นใจอย่างแน่นอนก่อนว่าไม่ใช่ลูกของท่าน เพราะหากฟ้องศาลแล้วมีการตรวจดีเอ็นเอทราบผลว่าเป็นลูกท่านจริง ต่อไปเมื่อลูกท่านทราบเรื่องก็อาจจะมีผลกระทบด้านจิตใจหรือเสียความรู้สึกก็ได้ แต่หากท่านมั่นใจว่าเป็นลูกของท่าน ก็ใช้วิธีการช่วยกันดูแล ให้เขามีการศึกษาและความเป็นอยู่ที่ดี เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมในภายภาคหน้าจะดีกว่า ต่อไปค่อยตรวจทีหลังก็ยังไม่สายครับ

            สำหรับเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นรายละเอียดส่วนตัวผมรบกวนท่านพิมพ์ถามทางอีเมลล์นะครับ


            ทนายภูวรินทร์


           


หมายเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานเกี่ยวกับเหตุฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2) ต้องเกิดจากความสมัครใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายก็ต้องเกิดจากความสมัครใจโดยแท้จริงของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย มิใช่สมัครใจเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น หากพฤติการณ์แห่งคดีมิได้เป็นไปดังที่ได้กล่าวมาทั้งสองกรณีนี้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย แม้ว่าจะมิได้อยู่ร่วมกันหรือไม่มีเยื่อใยต่อกัน และไม่มีความหวังที่จะคืนดีกันอีกแล้วก็ตาม


และ


จำเลยไม่ได้ส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูโจทก์หรือกลับไปหาโจทก์อีกเลย พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์จำเลยไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้

แก้ไขเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2560 10:09 น.
เกศณีย์
Guest
kkulna_med@hotmail.com
ตอบ # 7 เมื่อ 4 ตุลาคม 2553 13:37 น. [แจ้งลบ]
หนูขอเรียนปรึกษาค่ะ

คือหนูมีเรื่องเรียนปรึกษาค่ะ

เรื่องของเรื่องคือ� สามีของหนู (จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย) เกิด มีภรรยาน้อยค่ะ
คือเค้าทั้ง 2 คน ทำงานที่เดียวกัน(เชียงใหม่)� ตอนแรกที่หนูทราบ หนูก็ได้เข้าไปปรึกษากับหัวหน้า
ของเขาทั้ง 2 คนค่ะ หัวหน้าเขาบอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงาน ทั้งๆ� ที่�เพื่อนร่วมงาน
ของเขาทั้ง 2 คน ทราบดีค่ะ ว่ามีผลกระทบการทำงานมาก จนหนูตัดสินใจส่ง email ไป
ที่สำนักงานใหญ่ (กทม) แล้วผู้ใหญ่ทาง กทม. เค้าก็ส่งเรื่องมาให้ทางเชียงใหม่ แล้วทั้งสองคน
ก็เซ็นใบเตือน พอทั้งสองคนโดนเซ็นไปเตือนไปแล้ว แต่กลับไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลย กลับ
ทำตัวกันเหมือนเดิม สนิทสนม ทำพฤติกรรมที่น่าเกลียด ที่ทำงานของเขาทั้งสองคนรู้ดี
รวมถึงหัวหน้าของเขาทั้งสองคนก็ทราบดีค่ะ แต่ก็ไม่ทำอะไรเพราะหัวหน้าของเขาเป็นใจค่ะ
แต่หัวหน้าใหญ่นั้นก็ไม่ทำอะไร ไม่มีปากเสียงอะไรทั้งนั้น (ลูกน้องทุกคนไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยคะ)�

หนูก็เลยตัดสินใจว่าจะนำเรื่องนี้ ส่ง email ไป สนง.ใหญ่อีกทีค่ะ เพราะเท่าที่หนูรู้ว่าถ้าหนู
ร้องเรียนไปอีก เขาทั้งสองคน ต้องโดนออกจากงานทั้งคู่แน่ค่ะ ที่หนูตัดสินใจอย่างนี้เพราะ
สามีหนูเค้าบอกว่า เขาทั้งสองคนไม่กลัวอยู่แล้ว (หนูและสามีแยกกันอยู่ได้ประมาณ
2 เดือนแล้วค่ะ )�

ปัญหาคือ� ถ้าเขาทั้งสองคนออกจากงาน� ทางฝ่ายหญิงเขาสามารถที่จะฟ้องร้องหนูได้มั้ยคะที่
ทำให้เขาออกจากงาน� แล้วหนูควรจะทำอย่างไรดี� มีวิธีป้องกันอย่างไร ที่หนูทำอย่างนี้เพราะผู้หญิงคนนี้
เคยทำอะไรทำนองนี้กับผู้ชายหลายๆ คนที่ทำงานค่ะ (สามีหนูเคยเล่าให้ฟัง) ผู้ร่วมงานคนอื่นๆ� ก็ไม่
ชอบผู้หญิงคนนี้เลยค่ะ เพราะเค้าชอบทำตัวอย่างนี้
กัจจัง
Guest
Kim_ket@hotmail.com
ตอบ # 8 เมื่อ 6 ตุลาคม 2553 21:01 น. [แจ้งลบ]
สวัสดีครับ

ผมมีเรื่องจะปรึกษาครับ

ก่อนอื่นขอเล่าก่อนนะครับ
ผมเลิกกับแฟนผมได้ประมาณ 1 กว่า
หลังจากเลิกกันไปผู้หญิงคนนั้นก็ขนของในบ้านผมไปหมดที่สำคัญ
เอาเอกสารทางราชการผมไปด้วย ( ช่วงนั้นผมอยู่ใต้ )
ต่างมีแฟนใหม่
พอผมกลับจากทำงานผมก็เดินทางไปเอาเอกมารทางราชการของผม
แล้วค้างที่บ้านผู้หญิงคนนั้น แล้วกลับมาบ้านผมหลังจากนั้นก็ไม่เคยไปหาอีกเลย
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นก็โทรบอกผมว่าท้อง
ด้วยความเป็นลูกผู้ชายผมก็เลยจดทะเบียนสมรสให้
หลังจากนั้น พอลูกคลอดผู้หญิงคนนั้นก็ขนของมาอยู่ที่บ้านพักผม
มีเรื่องทะเลาะกันตลอด ผมขอหย่าผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ยอมหย่าที่สำคัญผมขอตรวจ DNA
เด็กก็ไม่ยอมตรวจ เค้าบอกว่าอยากตรวจอยากหย่าก็ไปฟ้องหย่าเอาเอง
ผมหย่าหย่ามากและอย่ากรูว่าเด็กคนนั้นใช่ลูกผมไหม
เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีผมคนเดี๋ยว
ผมนับจากวันที่ผมไปบ้านเขากับการตั้งครรภ์จนครอดมันไม่ตรงกันเลย
ผมขอความช่วยเหือดด้วยครับ
ผู้หญิงคนนี้เข้ากับครอบครัวผมไม่ได้ ตอนผมขออย่า เค้าก็ เรียก เงิน 150000 บาท
ผมหามาให้ได้ก็ไม่ยอมหย่า ผมทุกทรมาฯมาก หลังจากนั้นผมก็ลงใต้ไปทำงาน ก็ไม่ได้โทรหา
ไม่ติดต่อ แต่ส่งเงินค่าเลี้ยวดูเด็กให้ โดยพ่อผมเป็นคนส่งให้ เดือนละ 3000 บาท
ตอนนี้ผมลำบากมาทั้งตัวผม และครอบครัวผม

ผมจึงขอความกรุณาข่วยผมด้วยครับ ถ้าตอบทาง E-mail ได้จะขอบคุณมากๆๆๆครับ

ขอบคุณครับ
คนอยากปลดทุกข์ในใจ
Guest
ตอบ # 9 เมื่อ 8 ตุลาคม 2553 13:11 น. [แจ้งลบ]
เรียน คุณทนายภูวรินทร์

ดิฉันต้องการหย่ากับสามีแต่เค้าไม่ยอมหย่าไม่ยอมตกลงใดๆ เค้าเป็นคนเจ้าชู้มีผู้หญิงมากมายเมื่อก่อนกลับบ้านทุกวันแต่หลัง3ทุ่มและจะออกจากบ้านก่อน6โมงเช้าเพื่อไปเปิดบริษัทเป็นอย่างนี้ประมาณ7-8ปีค่ะ ดิฉันก็ยอม เค้ามีพนักงานเสมียนในบริษัทเป็นเมียน้อยซึ่งคนในอำเภอแทบจะไม่ทราบว่าดิฉันเป็นภรรยาของเขา(จะรู้แต่ในวงการเพื่อนๆเท่านั้น)แต่ข้างๆบริษัทหรือคนอื่น,ลูกค้าเค้าจะเข้าใจและเรียกเสมียนคนนี้ว่าเป็นเมียของเขา ซึ่งล่าสุดเพิ่งทราบว่าเจ้าของตึกที่ให้เช่าเปิดบริษัทก็เข้าใจว่าสามีดิฉันและตัวดิฉันช่างบริหารงานได้ดีแบ่งเวลาได้ดีและยังรู้จักหลอกใช้เสมียนให้ทำงานให้อีก ซึ่งจริงๆแล้วเสมียนคนนี้เขามีเงินออกรถราคาเป็นล้านขับและก็ใช้เปลี่ยนกันขับระหว่างรถบริษัทกับตนเองเหมือนคนในครอบครัว ตอนแรกที่ดิฉันทนเพราะอาย แต่ปัจจุบันความอายมีมีเหลือห่วงแต่ลูกเพราะสภาพจิตไม่ดีกลายเป็นเด็กก้าวร้าวอาจเป็นเพราะอยู่กับแม่ตลอดแล้วเจอปัญหาที่เกิดรับทราบการกระทำของพ่อตลอด บ้านดิฉันกู้สวัสดิการพนักงานหักจากบ/ชเงินเดือนดิฉัน รถส่งในนามดิฉันไม่ทราบว่าเมื่อฟ้องหย่าจะต้องแบ่งหรือไม่คะ ตอนนี้ไม่เข้าบ้านได้เกือบ 2เดือนแล้วและไม่ยอมหย่าให้ขอปราณีปรานอมหย่าก็ไม่ยอมท่าเดียวหาสาเหตุไม่พบค่ะว่าจะอยูทำไม เพราะไม่ได้รักแล้ว และไม่สนใจจะดูลูกด้วยตอนนี้เขาไปรับลูกเก่ามาดูแลค่ะ(เลิกกับเมียคนแรกเพราะจน บ้านพ่อตาแม่ยายไม่ยอมรับแล้วปัจจุบันเมียเขาแต่งงานใหม่รอบที่3ก็เลยต้องไปรับลูกมาดูแลแทน)เพราะนอนคนเดียวไม่ได้ คือเขานอนที่บริษัทแต่เสมียนกลับบ้านทุกวันซึ่งเราไม่ทราบว่าทางพ่อแม่เสมียนรู้มั้ยว่าลูกตนแยกสามีชาวบ้าน
1.อยากทราบว่าจะฟ้องได้อย่างไร
2.จะหาหลักฐานได้อย่างไร
3.พยานจะหาใครได้บ้าง
4.ทรัพย์สินเขาบอกจะไม่เอาอะไร(เพราะเขาไม่ได้หาเองเลยคิดว่าคงละอายแก่ใจ)
5.อยากจะรับดูแลลูกเองโดยจะขอดูแลคนเดียว(เงินเดือนพอจะเลี้ยงไหวค่ะ)
6.จะฟ้องเสมียนได้หรือไม่เพราะเขาไม่เกรงกลัวอะไรเลย,ท้าทายมาก

นิชชา
Guest
ตอบ # 10 เมื่อ 9 ตุลาคม 2553 08:41 น. [แจ้งลบ]
อยากทราบว่าต้องการหย่าแต่หาสามีไม่เจอค่ะ เราแยกกันอยู่มาหลายเดือนแล้ว และเค้าก็ย้ายที่อยู่ ที่ทำงานไป โทรไปก็ไม่รับสาย
ไม่ทราบว่าหากต้องการใบหย่า จะต้องทำอย่างไรบ้างค่ะ ทำอะไรกับเค้าได้บ้างไหมในแง่กฎหมาย ขอรบกวน e-mail ตอบด้วยนะคะ
(รวมเรื่องความเป็นไปได้หากจะต้องหาตัวเค้าด้วยค่ะ) เพราะกลัวเรื่องวันนึงดิฉันเสียชีวิตไปแล้ว เค้ากับเมียน้อยก็ต้องมีสิทธิ์ครอบครอง
มรดกดิฉันด้วยใช่หรือไม่คะ (ดิฉันไม่มีลูก พ่อ+แม่เสียชีวิตแล้ว และน้องชายคนเดียวไปตั้งรกรากอยู่ที่มาเลเซียคาดว่าคงไม่กลับมาแล้ว)
มีวิธีทางใดจัดการผู้ชายคนนี้(แล้วถ้าฟ้องเมียน้อยเลยด้วยได้หรือไม่คะ)
มีคนแนะนำว่าน่าจะทำพินัยกรรม ไม่ทราบว่าจะช่วยได้ไหม
ขอบคุณคุณทนายมากค่ะ รบกวนฝากตอบทาง e-mail จะขอบคุณมากค่ะ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 11 เมื่อ 10 ตุลาคม 2553 02:24 น. [แจ้งลบ]
ตอบคำถามคุณกัจจัง

          สวัสดีครับคุณกัจจัง

          เรื่องของคุณมีลักษณะคล้ายๆกับดารานักร้องนักแสดงที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังในขณะนี้เลยนะครับ แต่กรณีของคุณได้มีการจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ดังนั้น เมื่อชายและหญิงซึ่งได้ทำการจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อไม่อยากมีนิติสัมพันธ์ทางกฎหมายต่อกันอีกต่อไป ก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้นครับ

          กฎหมายได้บัญญัติเกี่ยวกับการสิ้นสุดแห่งการสมรสไว้ 3 ประการได้แก่  1.ความตาย 2.การหย่า และ 3.ศาลพิพากษาให้เพิกถอน เหตุตามข้อ 1. ย่อมสิ้นสุดลงทันทีเมื่อถึงแก่ความตาย ส่วนเหตุการหย่าตามข้อ 2. จะต้องเป็นการหย่าด้วยความสมัครใจและยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย ฉะนั้น เมื่ออีกฝ่ายไม่ยินยอมหย่า ก็ต้องฟ้องหย่าตามเหตุข้อ 3. ครับ ซึ่งจะต้องเป็นเหตุที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น และคุณสามารถหาอ่านได้ในเวปไซต์ของผมหัวข้อการสิ้นสุดการสมรส และเหตุฟ้องหย่าครับ

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่คุณกล่าวไว้และข้อกฎหมายแล้ว ขอบอกตามตรงว่าไม่มีเหตุฟ้องหย่าได้เลยครับ

สำหรับการที่คุณกลับมาเอาเอกสารและค้างที่บ้านของผู้หญิง หากคืนดังกล่าวคุณและเธอมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ได้ป้องกัน จากนั้นเธอตั้งครรภ์ และคุณได้แสดงความเป็นลูกผู้ชายโดยการจดทะเบียนสมรสกับเธอ ถือว่าคุณเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ ผมขอชื่นชมครับ

ประการต่อมา กรณีที่คุณสงสัยว่าเด็กจะเป็นลูกของคุณหรือไม่ เนื่องจากฝ่ายหญิงคบชายหลายคน ผมมีข้อคิดว่า หากเด็กคนดังกล่าวเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณจริง คุณก็ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ดังกล่าวครับไม่ว่าจะจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่ และไม่ว่าหญิงจะคบชายหลายคนหรือไม่ก็ตาม  และกรณีของคุณนั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมากในสัมคมไทย กฎหมายจึงได้บัญญัติไว้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้วครับ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. เด็กที่เกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชาย กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี

2. กรณีตามข้อ 1. หากชายผู้เป็นสามีจะปฏิเสธไม่รับเด็กเป็นบุตรของตน ก็สามารถใช้สิทธิทางศาล โดยฟ้องเด็กกับมารดาเด็กร่วมกันเป็นจำเลย และต้องพิสูจน์ได้ว่า ตนไม่ได้อยู่ร่วมกับมารดาเด็กในระยะเวลาตั้งครรภ์ คือ ระหว่างหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ถึงสามร้อยสิบวันก่อนเด็กเกิด หรือตนไม่สามารถเป็นบิดาของเด็กได้เพราะเหตุอย่างอื่น เช่น เป็นหมัน หรือการตรวจดีเอ็นเอ เป็นต้น

3. การฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตร ชายผู้เป็นสามีจะต้องฟ้องภายในหนึ่งปี นับแต่วันรู้ถึงการเกิดของเด็ก แต่ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันเกิดของเด็ก

แต่กรณีจะเป็นประการใดก็ตาม กฎหมายห้ามชายผู้เป็นสามีจะทำการฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรไม่ได้ ถ้าปรากฏว่า ตนเป็นผู้แจ้งการเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตน หรือจัด หรือยอมให้มีการแจ้งดังกล่าว

 


ดังนั้น ทางแก้ปัญหาของคุณก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ข้างต้น คือ การฟ้องไม่รับเด็กเป็นบุตร ซึ่งจะต้องมีหลักฐานโต้แย้งข้อสันนิษฐานของกฎหมาย เช่น ต้องมีการพิสูจน์ตามข้อ 2. ด้วยครับ ไม่ใช่อ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานสนับสนุน นอกจากนี้ การตรวจดีเอ็นเอ ก็จะต้องได้รับความยินยอมจากเด็กและมารดาเด็กด้วยจึงจะทำได้ จะฟ้องเพื่อขอให้ศาลบังคับให้ฝ่ายหญิงตรวจดีเอ็นเอเหมือนกรณีของดาราผู้โด่งดังในขณะนี้ก็ไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงไม่เหมือนกันครับ ประกอบกับหากคุณเป็นผู้แจ้งการเกิดในสูติบัตรว่าเป็นบิดาของเด็กหรือมีลักษณะตามที่ได้กล่าวมาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

           
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 12 เมื่อ 10 ตุลาคม 2553 03:06 น. [แจ้งลบ]
ขอตอบคำถามคุณคนอยากปลดทุกข์ในใจดังนี้ครับ

         1.อยากทราบว่าจะฟ้องได้อย่างไร

ตอบ  การฟ้องหย่ากรณีของคุณ ต้องอ้างเหตุตามกฎหมายคือ สามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ แต่เหตุฟ้องหย่าตามที่กล่าวมานั้น ถ้าคุณได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่านั้น คุณจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ครับ นอกจากนี้ สิทธิฟ้องหย่าดังกล่าวย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้ กระทำการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว แต่หากไม่สามารถฟ้องหย่าด้วยเหตุดังกล่าวได้ ก็อาจฟ้องหย่าด้วยเหตุอื่นอีกกล่าวคือ สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติเช่นนั้นเป็นความผิด อาญาหรือไม่ ถ้าความประพฤติเช่นนั้นเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง และได้รับความดูถูกเกลียดชัง หากยังคงสถานะของความเป็นสามีภริยากันต่อไป  และได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพฐานะ และความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา มาคำนึงประกอบ



          2.จะหาหลักฐานได้อย่างไร

ตอบ    หลักฐานประกอบการฟ้องหย่า ก็คือพยานบุคคล พยานเอกสาร และวัตถุพยานครับ หากเป็นพยานบุคคลเบิกความยืนยันถึงพฤติกรรมของสามีและฝ่ายหญิงชู้ก็ถือว่ามีน้ำหนักให้รับฟ้องได้แล้วครับ หรือทำการบันทึกภาพแสดงความสนิทสนมหรือความสัมพันธ์ระหว่างสามีและหญิงคนดังกล่าวก็ยิ่งดีครับ 

        

            3.พยานจะหาใครได้บ้าง

ตอบ    ส่วนหลักฐานจะหาได้ที่ไหนอย่างไร คุณก็ลองหาหลักฐานแถวๆบ้านคุณนั่นแหละครับ ต้องลองทำตัวเป็นนักสืบสอบถามชื่อ-ที่อยู่ของผู้เห็นเหตุการณ์ รายละเอียดต่าง ๆ พยานที่ดีที่สุดก็คือผู้ที่เห็นเหตุการณ์หรือเรียกว่าประจักษ์พยานนั่นเอง



          4.ทรัพย์สินเขาบอกจะไม่เอาอะไร(เพราะเขาไม่ได้หาเองเลยคิดว่าคงละอายแก่ใจ)

ตอบ    เมื่อสามีไม่บอกว่าไม่เอาอะไร ก็ต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือเก็บไว้ด้วยครับ คำพูดอย่างเดียวมันเปลี่ยนแปลงได้

         

           5.อยากจะรับดูแลลูกเองโดยจะขอดูแลคนเดียว(เงินเดือนพอจะเลี้ยงไหวค่ะ)

ตอบ    เมื่อฟ้องหย่าแล้วก็ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนอำนาจปกครองบุตรรวมไปด้วยครับ และขอให้ฝ่ายชายจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูลูกเป็นรายเดือนจนกว่าลูกจะบรรลุนิติภาวะและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี

         

           6.จะฟ้องเสมียนได้หรือไม่เพราะเขาไม่เกรงกลัวอะไรเลย,ท้าทายมาก

ตอบ    หากคุณฟ้องหย่าโดยอ้างเหตุสามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ ก็สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากสามีและจากหญิงอื่นได้อีกด้วยครับ โดยฟ้องสามีเป็นจำเลยที่ 1 และหญิงอื่นเป็นจำเลยที่ 2  
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 13 เมื่อ 10 ตุลาคม 2553 03:09 น. [แจ้งลบ]
สวัสดีครับคุณนิชชา

ผมได้ตอบคำถามส่งไปทางอีเมลล์ที่ให้ไว้แล้วนะครับ
คนอยากปลดทุกข์ในใจ
Guest
ตอบ # 14 เมื่อ 12 ตุลาคม 2553 15:57 น. [แจ้งลบ]
ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ ขอเพิ่มเติมหน่อยค่ะ
1.เวลาเราจะหาพยานบุคคลเราไปคุยแล้วอัดเทปมาด้วย เราจะผิดไหม เพราะส่วนมากคนทั่วไปมักจะไม่ชอบยุ่งเรื่องของสามี-ภรรยา
2.เราจะฟ้องเสมียนเป็นอะไรได้บ้างคะเช่นเป็นตัวเงินหรือคดี อาญา เพราะค่อนข้างจะแค้นมากๆๆๆ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 15 เมื่อ 4 พฤศจิกายน 2553 00:48 น. [แจ้งลบ]
ขอตอบคุณคนอยากปลดทุกข์ในใจ ดังนี้นะครับ



1.เวลาเราจะหาพยานบุคคลเราไปคุยแล้วอัดเทปมาด้วย เราจะผิดไหม เพราะส่วนมากคนทั่วไปมักจะไม่ชอบยุ่งเรื่องของสามี-ภรรยา

ตอบ การสืบพยานในศาล ต้องนำพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง (มิใช่ได้รับฟังจากคนอื่นมา) ไปสืบต่อหน้าศาลเพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายใช้สิทธิถามค้านพยานด้วย การอัดเทปไปใช้ในศาลไม่ได้ครับ ยกเว้นเทปบันทึกภาพเหตุการณ์หรือภาพถ่ายขณะสามีกำลังมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นหรือความสนิทสนมใกล้ชิดอันแสดงออกถึงการเป็นคนรักกันเท่านั้นครับ ส่วนพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์หรือความสัมพันธ์ของสามีและหญิงอื่นนั้น หากรู้ชื่อนามสกุลก็อ้างเป็นพยาน และขอให้ศาลหมายเรียกมาเป็นพยานได้ครับ หากพยานไม่มาศาลก็จะมีความผิดตามกฎหมาย



2.เราจะฟ้องเสมียนเป็นอะไรได้บ้างคะเช่นเป็นตัวเงินหรือคดี อาญา เพราะค่อนข้างจะแค้นมากๆๆๆ

ตอบ กรณีนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา เป็นคดีครอบครัว ใช้สิทธิดำเนินคดีฟ้องหย่า แบ่งสินสมรส และเรียกค่าทดแทนเป็นตัวเงินทั้งจากฝ่ายสามีและหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวได้เท่านั้น ไม่เป็นความผิดทางอาญาแต่อย่างใดครับ



เวรระงับด้วยการไม่จองเวร แล้วชีวิตจะมีความสุข ขอให้โชคดีครับ
สวัสดีค่ะ
Guest
ตอบ # 16 เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2553 17:00 น. [แจ้งลบ]
แต่งงานจดทะเบียนอยู่กินกับสามีมา 7 ปี 3 เดือน สามีนอกใจตลอด ปีนี้ 3 คน 2คนแรกมีเสียงคุยโทรศัพท์ที่แอบบันทึกไว้ มีเสียงเอ่ยชื่อของสามีและชื่อของผู้หญิงที่คุยด้วย เกี่ยวกับเรื่องการโอนเงินให้ แต่ไม่รู้ว่าเลิกหรือยัง ส่วนคนที่ 3 มีรูปภาพที่สามีพาไปช่วยทำงาน มีภาพการป้อนน้ำให้ดื่ม อันนี้ไปทำงานกับสามีกันสองคน โดยไม่มีดิฉันและคนอื่นไปด้วย แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยพาผู้หญิงคนอื่นไปช่วยทำงาน ซึ่งมีแม่ของสามี น้า และเพื่อนเห็นเพราะต้องไปทำงานด้วยกัน ส่วนในเรื่องของธุรกิจ สามีได้ไปสร้างตึก 2 ชั้นในที่ดินของครอบครัวดิฉัน โดยทางครอบครัวไม่ได้ยกที่ดินให้ แต่ให้สร้างตึกเพื่อทำมาหากิน ชั้นล่างเปิดเป็นบริษัท ชั้นบนเอาไว้อยู่เอง บริษัทมีชื่อของสามี ดิฉันและคนในครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้น ตอนนี้ต้องการหย่าแต่สามีไม่ยอมหย่า ต้องทำอย่างไรบ้างและดิฉันจะมีส่วนได้ส่วนเสียยังไง ช่วยตอบเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยนะคะ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงคะ

ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 17 เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2553 00:36 น. [แจ้งลบ]
สวัสดีครับ 

เหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายมีหลายประการด้วยกันครับ ส่วนเหตุที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็คือ เหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) “สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยา หรือสามีเป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้” ตามข้อเท็จจริงที่แจ้งมานั้นสามารถอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ครับ แต่ขอบอกว่าเหนื่อย เพราะพฤติการณ์ยังไม่ชัดเจนมากนัก เนื่องจากภาระการพิสูจน์ว่าสามีได้กระทำการอันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายดังกล่าว ผู้กล่าวอ้างหรือผู้ฟ้องคดีจะต้องสืบพยานหลักฐานให้ศาลเชื่อว่าสามีได้อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นทั้งคนที่หนึ่งที่สอง มีการโอนเงินให้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูกันจริง มิใช่โอนเพราะตอบแทนการทำงานหรือเหตุอื่น ส่วนการที่สามีจะไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นทั้งหมดในทำนองชู้สาวก็ยังไม่ชัดเจนครับแม้จะมีภาพถ่ายการป้อนน้ำให้ดื่ม ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ในลักษณะใกล้ชิดเป็นพิเศษเกินกว่าความสัมพันธ์ในระดับคนที่รู้จักในการทำงานทั่วไปก็ตาม แต่สามีก็สามารถต่อสู้คดีได้ เมื่อมีการสืบพยานหลักฐานกันในชั้นศาล ผลที่สุดศาลอาจจะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยก็เป็นได้ สรุปก็คือควรจะหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมครับ

ส่วนหลักฐานที่สามารถฟ้องหย่าได้โดยศาลต้องพิพากษาให้หย่าขาดจากกันเลยนั้น ควรจะเป็นภาพถ่ายหรือหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ทำนองชู้สาวกัน หลักฐานหรือภาพถ่ายการเข้าพักโรงแรมด้วยกัน หรือพยานบุคคลที่สามารถเบิกความยืนยันต่อศาลว่า บุคคลทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกัน เป็นต้น เรียกได้ว่า เถียงไม่ได้ดิ้นไม่หลุดครับ

          แต่ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดก็ตาม เมื่อฟ้องหย่าโดยอ้างเหตุดังกล่าว ก่อนจะพิจารณาคดีศาลจะทำการไกล่เกลี่ยให้คู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกัน หรือปรองดองกันเพื่อรักษาสัมพันธภาพระหว่างสามีภริยาให้มีอยู่ต่อไปได้ ซึ่งอาจจะให้สามีทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับหญิงอื่นในลักษณะดังกล่าวก็ได้ หากต่อไปสามีประพฤติผิดทัณฑ์บนก็สามารถอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้เช่นเดียวกันครับ

          ส่วนเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภริยานั้น เรียกว่า “สินสมรส” ได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

(2) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส

(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

          ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส

          ดังนั้น สิทธิหรือส่วนได้ส่วนเสียของการจดทะเบียนสมรสในเรื่องทรัพย์สินของสามีภรรยา ตามกฎหมายให้ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิและมีส่วนได้ส่วนเสียเท่ากันครับ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้หามาได้ก็ตาม หากได้มาระหว่างสมรสก็ถือเป็นสินสมรสไม่ว่าในเรื่องทรัพย์สินและหนี้สิน คือเมื่อหย่าจากกันแล้วก็ต้องแบ่งทรัพย์สินและหนี้สินตามส่วนเท่ากันครับ หรือฝ่ายไหนตกลงจะรับส่วนแบ่งทั้งหนี้สินและทรัพย์สินมากหรือน้อยกว่าอีกฝ่ายก็สามารถทำได้

การที่สามีได้สร้างตึกในที่ดินของครอบครัวคุณ ต้องแยกว่าเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสก่อนครับ กล่าวคือ ประการแรกหากสามีเอาเงินส่วนตัวของตนเองทั้งหมดมาสร้างตึก ตึกย่อมเป็นสินส่วนตัวของสามี เมื่อหย่ากันแล้วตึกก็เป็นของสามีโดยไม่ต้องนำมาแบ่งส่วนกัน แต่ดอกผลที่เกิดจากการใช้ตึก หรือค่าเช่าตึก ย่อมเป็นสินสมรส ประการต่อมาหากสามีเอาเงินซึ่งเป็นสินสมรสไปสร้างตึก ตึกก็เป็นสินสมรสครับ  ส่วนการที่คุณเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ถ้าหุ้นได้มาระหว่างสมรสหุ้นก็ถือเป็นสินสมรสครับ และผลกำไรที่เกิดจากการทำธุรกิจของบริษัทก็ถือเป็นสินสมรส ดังนั้น เมื่อทรัพย์สินใดเป็นสินสมรส เมื่อหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว ก็ต้องแบ่งเป็นส่วนเท่ากัน ไม่ว่าฝ่ายใดจะมีชื่อเป็นเจ้าของบริษัทหรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็ตาม
ปาลิดา
Guest
hi.teeja@hotmail.com
ตอบ # 18 เมื่อ 6 มกราคม 2554 08:38 น. [แจ้งลบ]
ตอนนี้แยกกันอยู่กับสามีมา ๙ ปี โดยที่สามียังส่งเสียค่าเลี้ยงดูลูก และเขาบอกว่าเขาเลี้ยงแต่ลูกไม่ได้เลี้ยงดิฉัน เขามีผู้หญิงใหม่ ให้เงินใช้บ้างก็พอบางทีก็ไม่พอ ต้องโดนเจ้าหนี้มาโดนด่า หนูอับอายมาก เขาอยู่กับผู้หญิงอีกคนมีทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซส์ คันใหม่ แต่ดิฉันกับลูกไม่มีอะไรเลย ไปไหนต้องนั่งรถเมล์ไป
ขอความช่วยเหลือด้วยนะคะหรือแนะนำ หนูขอฟ้องหย่าแต่เขาก็ไม่ยอมหย่าเพราะกลัวจะเสียสิทธิตามหมายศาลถ้าให้หักเงินเดือนโดยตรงมาให้หนูกับลูกเลย
หนูสามารถเรียกร้องสิทธิ์ที่สูญเสียสิทธิ์ในการทำมาหากินได้ไหมค่ะ เพราะหนูลำบากมาก ช่วยแนะนำใหหนูด้วย
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 19 เมื่อ 6 มกราคม 2554 21:15 น. [แจ้งลบ]
ตอบคำถามคุณปาลิดา

กรณีของคุณสามารถฟ้องหย่าได้ โดยยกเหตุฟ้องหย่าคือ 1.สามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกยกหญิงอื่นฉันภริยา หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ 2. สามีจงใจทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี 3. สามีไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูถึงขนาดที่ทำให้คุณเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะ และความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ

 

การฟ้องหย่าเพราะเหตุสามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกยกหญิงอื่นฉันภริยา คุณมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้สามีจ่ายเงินค่าทดแทน และค่าเลี้ยงชีพให้คุณได้ นอกจากนี้ยังมีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีคุณไปในคดีเดียวกันได้ด้วย และกรณีที่การหย่าเป็นความผิดของสามีฝ่ายเดียว และการหย่าเป็นเหตุให้คุณยากจนลงเพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สิน หรือจากการงานตามที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรส ก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้อีกด้วย

 

ข้อควรระวัง เหตุฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทำการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้น นอกจากนี้ สิทธิฟ้องหย่าย่อมระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ความจริงซึ่งอาจยกเป็นเหตุฟ้องหย่าได้

 

นอกจากจะฟ้องหย่าแล้ว คุณยังมีสิทธิฟ้องในคดีเดียวกันเพื่อให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนอำนาจปกครองบุตรของสามี และให้สามีจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นรายเดือนจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะหรือสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีได้อีกด้วย

 

และเมื่อศาลพิพากษาให้สามีจ่ายเงินค่าทดแทนหรือค่าเลี้ยงชีพ หรือค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแล้ว หากสามีไม่จ่ายเงินตามคำพิพากษา ก็สามารถบังคับคดีโดยยึดทรัพย์สินหรืออายัดเงินเดือนของสามีได้

 

ส่วนการจะฟ้องหย่าอย่างไรนั้น ให้ปรึกษาทนายความที่คุณมีภูมิลำเนา หรือขอความช่วยเหลือด้านกฎหมายกับสภาทนายความ หรือสำนักงานอัยการประจำจังหวัดที่คุณมีภูมิลำเนาเพื่อให้ดำเนินคดีแทนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
แป้ง
Guest
ตอบ # 20 เมื่อ 8 กรกฎาคม 2554 03:47 น. [แจ้งลบ]
เรียน คุณทนายภูวรินทร์

1.สามีดิฉันทิ้งดิฉันไปได้ 2 เดือน ดิฉันต้องการให้เขากลับมาอยู่ด้วยจึงได้โกหกว่าท้อง และส่งรูปถ่ายอัลตราซาวน์ไปให้เขาดู เพื่อหวังให้เขากลับมาอยู่กับดิฉัน แต่เขากลับจะฟ้องดิฉันเรื่องขอตรวจดีเอ็นเอ กับฟ้องศาลให้ดิฉันตรวจการตั้งครรภ์ หากดิฉันตั้งครรภ์จริงเขาจะยอมติดคุกแต่ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง เขาจะฟ้องร้องดิฉันเพื่อเรียกเงินค่าเสียหายที่ดิฉันโกหกเขา ขอเรียนถามนะค่ะ กรณีนี้สมารถทำได้หรือไม่ แหละเมื่อทำแล้วจะเกิดผลอย่างไรค่ะ ต้องขอยอมรับด้วยใจว่าอยากให้เขากลับมาอยู่กันเป็นครอบครัวเหมือนเดิม เลยต้องโกหก
2 .หากดิฉันจะขอฟ้องหย่ากับสามี แต่มีหนี้สินร่วมกัน แต่เขาบอกปัดจะไม่รับผิดชอบ เพราะดิฉันเป็นคนเซ็นต์สัญญากู้ยืมกับแม่ดิฉันคนเดียวเขาไม่ได้มาเซ็นต์ด้วย แต่เขาใช้เงินร่วมกันกับเราในระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่กับเรา แล้วถ้าเขาไม่อยากจ่าย เราจะบังคับเขาได้อย่างไรค่ะ กลุ้มใจมากค่ะ เพราะตอนนี้ดิฉันไม่มีงานทำและต้องรับภาระหนี้สินเพียงคนเดียว
3. ดิฉันสามารถเรียกค่าเลี้ยงดูจากฝ่ายชายได้ไหมค่ะ กรณีไม่มีลูกแต่ดิฉันยังไม่มีงานทำ เพราะเขาจงใจทอดทิ้งดิฉันไปเอง ทำให้ดิฉันทุกข์ใจมากทั้งยังอับอายเพื่อนบ้านจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
4. แม่สามีใส่ร้ายเราโดยการไปบอกคนอื่นว่าเราเสพยาเสพติดทั้งที่เราไม่ได้ทำ อยากทราบว่าเราจะฟ้องร้องเขาได้ไหมค่ะ เพราะดิฉันไม่ได้ทำ แต่กลับมีคนเอาไปพูดกันอย่างแพร่หลายทำให้ดิฉันได้รับความอับอาย พอรู้ว่าต้นตอมาจากแม่สามีเขาก็ไม่ยอมรับ ทั้งที่มีพยาน จะทำอย่างไรให้เขาได้รับความผิดบ้างเพราะหลายครั้งแล้วที่เขาเอาดิฉันไปนินทาเสียๆหายๆ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 21 เมื่อ 10 กรกฎาคม 2554 12:40 น. [แจ้งลบ]

ตอบคุณแป้ง  

               
1. เมื่อชายหญิงจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายแล้ว กฎหมายบัญญัติให้สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน ซึ่งเป็นพันธะสัญญาตามกฎหมายและตามจารีตประเพณีครับ การที่ภริยาโกหกว่าท้อง และสามีจะฟ้องภริยาขอตรวจดีเอ็นเอ กับฟ้องศาลให้ตรวจการตั้งครรภ์นั้น เรื่องนี้ไม่มีใครทำกันครับเป็นเพียงแค่คำขู่เท่านั้น และเมื่อเป็นเรื่องไม่จริง การที่สามีจะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากภริยา ก็สามารถฟ้องได้ แต่เรื่องแบบนี้ไม่มีใครทำกันอีกด้วยครับ เพราะเป็นสิ่งที่น่าละอาย ฟ้องไปศาลก็ตำหนิเอา เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง และเป็นคดีที่รกศาลมากกว่า 

               2. ตามกฎหมายหนี้ที่สามีภริยาต้องรับผิดร่วมกัน ได้แก่ หนี้ที่สามี หรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรส ดังนี้

              (1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือน และจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบ ครัว การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและ การศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

              (2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

              (3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทำด้วยกัน

              (4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ได้ให้สัตยาบัน


              เมื่อเป็นหนี้ร่วมก็ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้หนี้ หากเจ้าหนี้ฟ้องคุณคนเดียว คุณก็ต้องร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย 

            
 3. ในระหว่างสมรส คุณสามารถฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามีได้โดยไม่ต้องฟ้องหย่าตามหลักกฎหมายที่ตอบไปในข้อ 1. ส่วนหากมีการฟ้องหย่าก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ครับ ถ้าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของคู่สมรส ฝ่ายชายแต่ฝ่ายเดียว และการหย่านั้นจะทำให้คุณยากจนลง เพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สิน หรือจากการงานตามที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรส แต่ศาลจะให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้ให้และฐานะของผู้รับ

              4. ตามกฎหมายคุณมีสิทธิทำได้ แต่คุณต้องยอมรับผลที่ตามมาด้วย เพราะถือเป็นการตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวฝ่ายชายไปด้วย 

moolee
Guest
ตอบ # 22 เมื่อ 20 กรกฎาคม 2554 14:47 น. [แจ้งลบ]
ฟ้องหย่าจำเป็นต้องนำผู้ใหญ่บ้านไปเป็นพยานด้วยหรือไม่คะ เพราะอะไะ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 23 เมื่อ 21 กรกฎาคม 2554 10:27 น. [แจ้งลบ]
ตอบคุณ moolee

                 ก่อนอื่นต้องถามว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องฟ้องหย่าอย่างไร หากเกี่ยวข้องในประเด็นสำคัญที่จะต้องสืบ เช่น เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่อ้างเป็นเหตุฟ้องหย่า ก็ต้องนำไปเป็นพยาน

                 หลักง่าย ๆ ของผู้ที่จะเป็นพยานตามกฎหมายก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่ให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง หากบุคคลใดไม่เกี่ยวข้องเลย แม้จะเป็นนายอำเภอหรือผู้ว่า ที่มาเบิกความ ศาลก็ไม่รับฟังครับ
ดี
Guest
ตอบ # 24 เมื่อ 25 สิงหาคม 2554 15:31 น. [แจ้งลบ]
เรียน ทนายภูวรินทร์

สามีดิฉันหายไปจากบ้านไปนาน3เดือนแล้วค่ะ ติดต่อเขาได้แต่เขาไม่ยอมคุยด้วยเลย หลบหน้าตลอด บ้านเขากับบ้านดิฉันอยู่คนละจังหวัดกันซึ่งไกลกันมาก ดิฉันเหนื่อยมาก จึงอยากจะหย่ากับเขา ดิฉันจะสามารถฟ้องหย่าได้ไหมค่ะ เพราะเขาไม่ยอมหย่า แต่ไม่ยอมอยู่กับดิฉัน จะไปอยู่แต่บ้านแม่เขา แต่ก็ไม่ได้ให้ฉันอยู่ด้วยเขาบอกว่าอยากอยู่คนเดียว เขาก็ไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูดิฉันเลย รวมทั้งหนี้สิน ดิฉันก็เป็นคนใช้หนี้แต่เพียงผู้เดียว ดิฉันจะเรียกร้องอะไรได้บ้างค่ะ บ้านดิฉันมีฐานะกว่าเขา เขาไม่มีบ้านไม่มีอะไรเลย แม่เขาอาศํยบ้านญาติอยู่ ดิฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องการจะหนีดิฉันไป หาสาเหตุไม่ได้ ไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยด่าทอ อยู่ดีีๆก็หนีหายไป แต่เขาเคยมีแฟนมาก่อนที่จะแต่งงานกับดิฉัน เขาเพิ่งเลิกกันได้3เดือน นี่อาจเป็นสาเหตุหลักๆก็ได้ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ ขอโทษที่คำพูดวกวนเพราะดิฉันถ่ายทอดเรื่องราวไม่เก่งค่ะ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 25 เมื่อ 26 สิงหาคม 2554 21:32 น. [แจ้งลบ]
ตอบคุณดี

          ตามกฎหมายการสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วย 1.ความตาย 2.การหย่า หรือ 3. ศาลพิพากษาให้เพิกถอน

          กรณีของคุณที่ต้องการ
หย่ากับสามีจะต้องตกลงหย่ากันด้วยความยินยอมทั้งสองฝ่าย หรือหากสามีไม่ยอมหย่า ก็ต้องใช้สิทธิทางศาลเท่านั้น แต่จะต้องอ้างเหตุฟ้องหย่าตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ด้วยซึ่งมีบทบัญญัติไว้หลายประการ โดยคุณสามารถอ่านได้จากกระทู้นี้ครับ 


          ข้อเท็จจริงที่คุณให้มาปรากฏว่าสามีหนีหายไปจากบ้าน ถือเป็นการจงใจทิ้งร้าง แต่เนื่องจากสามีคุณเพิ่งจะหนีไปจากบ้านเพียงแค่ 3 เดือนยังไม่ครบกำหนดเวลา 1 ปี จึงอ้างเหตุนี้ฟ้องหย่าไม่ได้ครับ ส่วนกรณีที่สามีไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูเลยนั้น ตามกฎหมายสามารถอ้างเหตุสามีไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูตามสมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง จึงฟ้องหย่าได้ แต่ทั้งนี้ การกระทำนั้นจะต้องถึงขนาดที่คุณเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอา สภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบด้วย คุณจึงสามารถอ้างเหตุนี้ฟ้องหย่าได้ครับ แต่ผมแนะนำให้รอไปก่อนปล่อยให้เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งปี เพราะจะได้อ้างเหตุฟ้องหย่าหลายเหตุ และเมื่อฟ้องหย่าคุณก็สามารถฟ้องขอให้สามีร่วมรับผิดในหนี้สินที่เกิดขึ้นระหว่างสมรสได้ครับ  

          นอกจากนี้ ในคดีหย่าสามารถฟ้องเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ด้วย โดยมีเงื่อนไขคือ ถ้าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และการหย่านั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง เพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สิน หรือจากการงานตามที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรส อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ค่าเลี้ยงชีพนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้ให้และฐานะของผู้รับ ซึ่งกรณีของคุณฟ้องไปศาลอาจไม่กำหนดค่าเลี้ยงชีพให้เพราะสามีคุณไม่มีทรัพย์สิน และไม่มีรายได้อะไร
แต้ว
Guest
ตอบ # 26 เมื่อ 5 ธันวาคม 2554 14:42 น. [แจ้งลบ]
เมื่อ 6 ปี่ที่วแล้ว สามีไปทำงานต่างจังหวัด ไปได้ผู้หญิงอื่เป็นภรรยา ต่อมาสามีย้ายกับกรุงเทพ ผู้หญิงใหม่ก็ตามมาอยู่ด้วย สามีไม่ค่อยบ้าน นานๆจะกลับ และตัวเองรู้สึกทุกข์ทรมาณใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อย สามีเป็นคนเจ้าอารมณ์ ทำงานเป็นตำรวจ มีปืนเป็นอาวุธ เคยพยายามทำร้ายร่างกาย 3 ครั้ง มีแม่และลูกเห็นเป็นพยาน ครั้งสุดท้าย เกือบประมาณ 2 ปี ที่แล้ว สามียกเท้าจะทำร้ายร่างกาย รู้สึกกลัวมาก เลยบอกให้สมีอกจากบ้านไป สามีก็ยินดีออกจากบ้าน ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ก็ได้ออกจากบ้าน แตสามียังส่งเสียเลี้ยงดูลูก ต้องการหย่ากลับสามีเนื่องจากเป็นความตั้งใจที่จะไม่ขออยู่แบบทุกข์ทรมาณใจอีก แต่ไม่กล้าบอกสามี เพราะกลัวเขาทำร้ายร่างกาย จะขอหย่า จะทำได้หรือไม่ค่ะ เพราะสมัครใจแยกทากันอยู่เป็นเวลาหลยปีแล้วค่ะ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 27 เมื่อ 6 ธันวาคม 2554 01:45 น. [แจ้งลบ]
ตอบคำถามคุณแต้ว

              การหย่านั้น สามารถตกลงหย่ากันได้ด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย โดยไม่ต้องอ้างเหตุผลใด ๆ  ครับ หรือหากสามีไม่ยินยอมหย่า คุณก็มีสิทธิฟ้องหย่าโดยอ้างเหตุสามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามีเป็นชู้หรือมีชู้ หรืออ้างเหตุจงใจทิ้งร้าง หรือสมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีก็ได้ นอกจากนี้ ก็ยังมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น พร้อมทั้งเรียกค่าเลี้ยงดูลูกด้วยก็ได้ครับ แต่ผมแนะนำว่า โดยพฤตินัยอาจถือว่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันแล้ว เพียงแต่ตามกฎหมายก็ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ มีความผูกพันกันเรื่องทรัพย์สินและหนี้สิน สิทธิในการรับมรดกซึ่งกันและกัน มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรกันตามกฎหมาย หากคุณไม่เดือดร้อนเรื่องการเป็นอยู่ การพักอาศัยก็แยกกันนานแล้ว ก็ไม่ต้องไปทุกข์ทรมานกับสิ่งที่สามีทำ รู้จักปล่อยวาง ทะเบียนสมรสก็ปล่อยไว้แบบนี้ อีกหน่อยฝ่ายที่ขอหย่าจะเป็นสามีเสียเอง เพราะเมียน้อยก็ต้องหวังอยากมีสิทธิเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่ออยากได้สิทธิต่าง ๆ เนื่องจากสามีคุณเป็นข้าราชการ และคดีที่ผมทำมาส่วนมากสามีเป็นข้าราชการตำรวจจะเป็นฝ่ายฟ้องหย่าภรรยาทั้งๆที่ไม่มีเหตุจะอ้างได้ตามกฎหมาย แต่หากคุณไม่ต้องการผูกพันกันทางทะเบียนก็คงต้องใช้สิทธิฟ้องหย่าตามเหตุที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้นครับ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 28 เมื่อ 6 ธันวาคม 2554 02:35 น. [แจ้งลบ]

 


ประกาศ

การตอบคำถามเป็นเพียงความคิดเห็นเบื้องต้นทางกฎหมายซึ่งได้วินิจฉัยและตอบคำถามจากข้อเท็จจริงเพียงเท่าที่ปรากฏเท่านั้น โดยอาจมีรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่น ๆ ที่ผู้ถามมิได้แจ้งข้อมูลมาอย่างครบถ้วนที่จะประกอบการวินิจฉัยอย่างเพียงพอ  หรือกรณีผู้ถามนำคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณามาสอบถาม คดีดังกล่าวอาจมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานสำคัญอื่น ๆ ซึ่งอาจมีผลต่อรูปคดีและจะปรากฏชัดเจนในชั้นพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น ดังนั้น ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจ และไม่สามารถอ้างอิงคำตอบเป็นแนวทางประกอบการดำเนินคดีได้อย่างสมบูรณ์

**********************

       อนึ่ง การให้คำปรึกษากฎหมาย มีวัตถุประสงค์เป็นการเผยแพร่ความรู้กฎหมายเบื้องต้น เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถรักษาสิทธิของตนได้ ตลอดจนปฏิบัติตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้อย่างถูกต้อง โดยไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายหรือค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น จึงหวังเพียงแค่คำว่า “ขอบคุณ” เพื่อเป็นกำลังใจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเท่านั้น  

           หมายเหตุ      คำถามทางเวปไซต์ จะตอบโดยใช้เวลาว่างเว้นจากภารกิจและหน้าที่การงานที่ทำ จึงอาจมีความล่าช้าไปบ้าง  ฉะนั้น หากท่านใดประสงค์คำตอบแบบเร่งด่วนให้ติดต่อทางโทรศัพท์ กรณีไม่สามารถติดต่อทางโทรศัพท์ได้ อาจเพราะอยู่ระหว่างการงานหรือปฏิบัติหน้าที่ในศาล กรุณาโทรใหม่อีกครั้ง ทนายความไม่มีบริการโทรกลับ ผู้ขอคำปรึกษาต้องโทรมาเอง หรือหากต้องการความเป็นส่วนตัวให้ติดต่อทางอีเมลล์เท่านั้น  นอกจากนี้ คำถามบางข้ออาจมีผู้อื่นถามไว้แล้ว กรุณาอ่านคำตอบได้โดยไม่ต้องตั้งคำถามใหม่ เนื่องจากขณะนี้พื้นที่ความจุของเวปไซต์เหลือเพียงเล็กน้อย จึงแจ้งมาเพื่อทราบ
แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม 2554 02:54 น.
ratty
Guest
rattika_pi@hotmail.com
ตอบ # 29 เมื่อ 9 มกราคม 2555 14:24 น. [แจ้งลบ]
ตอนนี้หย่ากับสามีเก่าตั้งแต่ 11 ตุลาคม 54 แต่แยกกันอยู่มาตั้งแต่ต้นปี 54 มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนอายุ 4 ขวบคะ สลักหลังใบหย่าว่าสิทธิ์ในการเลี้ยงบุตรเป็นของมารดาแต่เพียงผู้เดียว สินสมรสแบ่งกันหมดแล้ว และไม่ได้ระบุเกี่ยวกับค่าเลี้ยงลูกบุตรเลยคะเพราะตกลงกับสามีเก่าไม่ได้ จะถามว่าสามารถฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรได้ไหมคะ แล้วโอกาสที่จะชนะมีมากน้อยแค่ไหนคะ ค่าใช้จ่ายในการจ้างทนายประมาณเท่าไหร่คะ ดิฉันรายได้ไม่เยอะนะคะ ขอบคุณค่ะ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 30 เมื่อ 17 มกราคม 2555 23:19 น. [แจ้งลบ]
ทนายภูวรินทร์ ได้ตอบคำถามของคุณ ratty ทางอีเมลล์เรียบร้อยแล้ว
เปิ้ล
Guest
ตอบ # 31 เมื่อ 2 มีนาคม 2555 14:37 น. [แจ้งลบ]
สวัสดีค่ะทนายภูวรินทร์

ดิฉันมีเรื่องจะสอบถามเกี่ยวกับการฟ้องหย่าค่ะ

คือดิฉันแต่งงานกับสามีชาวอังกฤษ(แต่เคยทำงานที่ประเทศออสเตรเลีย ตอนนี้เกษียณแล้ว)เรามีปัญหาทะเลาะกันบ่อยมาก ทำให้ไม่ค่อยอยากจะพูดคุยกันซักเท่าไหร่ สามีไม่มีปัญหาเรื่องอะไร นอกจากชอบพูดจากระทบกระเทียบ แดกดัน ประชดประชัน ทำให้ดิฉันอารมณ์เสียและร้องไห้บ่อยมาก เค้าบอกว่าดิฉันชอบคิดว่าเค้าไปมีผู้หญิงอื่นโดยที่เค้าไม่เคยทำ แต่เค้าเองก็ชอบคิดว่าดิฉันจะหลอกเอาเงินของเค้าเหมือนกัน คิดดูสิคะ ดิฉันอยู่กับเค้ามาต้ังนาน ขนาดมีลูกด้วยกันหนึ่งคนเค้าก็ไม่เคยไว้ใจ ไม่เคยบอกรหัสธนาคารหรือเอทีเอ็ม ไม่โอนชื่อบ้านเป็นชื่อของดิฉัน(เค้าให้เหตุผลว่ากลัวดิฉันจะหาเรื่องเลิกแล้วเอาบ้านไป) ดิฉันเองก็ไม่เคยเรียกร้อง คิดเสมอว่าเงินของเค้าเค้าหามา เค้าก็ต้องหวง ดิฉันเข้าใจ เวลาพอทะเลาะกันมากๆ เค้าก็ลามไปถึงครอบครัวดิฉัน ว่าพ่อแม่ไม่ทำงาน น้องติดยา ติดคุก โดยที่เค้าเองก็ไม่ได้จัดงานแต่งให้เป็นที่ชื่นใจให้กับพ่อแม่ของดิฉันเลย พ่อแม่ดิฉันก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเค้า ดิฉันทนอยู่กับเค้าก็เพราะเห็นแก่ลูก ไม่อยากให้ลูกต้องขาดพ่อ อยากให้ลูกได้มีอนาคตที่ดี มีความรู้สึกที่ดีที่มีพ่อแม่พร้อมหน้า พร้อมตา เพราะลูกของดิฉันเองก็ติดพ่อมาก แต่ดิฉันรู้สึกว่ายิ่งอดทน ยิ่งอยู่ด้วยกัน ก็ยิ่งเหม็นขี้หน้ากัน มันไม่มีอารมณ์ที่อยากจะกอดหรือออดอ้อนเหมือนเมื่อก่อน พอคิดถึงสิ่งที่เค้าด่า เค้าดูถูก ดิฉันก็แค้น ก็หดหู่ จนมันเฉยชาไปเลย เหตุผลแบบนี้ดิฉันจะสามารถฟ้องหย่าได้ไหมคะ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเท่าไหร่ค่ะ ขอเล่ารายละเอียดที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมา ดังนี้ค่ะ

1.ดิฉันแต่งงานและจดทะเบียนสมรสในประเทศไทยมาได้ 4 ปี แต่อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยามาก่อน 3 ปี ณ ปัจจุบันมีลูกชาย 1 คน อายุ 4 ปี ลูกเกิดที่ประเทศไทย แต่มีพาสปอร์ต ของท้ังประเทศไทย อังกฤษ และออสเตรเลีย

2.สามีมีบ้านและที่ดินที่ซื้อก่อนจดทะเบียนสมรส (ซื้อเป็นชื่อบริษัท) แต่ก็ร่วมกันออกแบบและก่อสร้างด้วยกัน มีรถกระบะ และรถมอเตอร์ไซด์ (เป็นชื่อของดิฉัน ซื้อระหว่างที่แต่งงาน)

3.ดิฉันเป็นหนี้บัตรเครดิตประมาณ 60,000 (สามีไม่รู้) เป็นหนี้กองทุนเพื่อการศึกษา ณ ปัจจุบันประมาณ 190,000 บาทและเป็นหนี้เงินธนาคารอาคารสงเคราะห์มาสร้างบ้านให้แม่(ก็ร่วมกับแม่)(2 เรื่องนี้สามีรับรู้ เป็นผู้รับภาระจ่ายให้)

4.ดิฉันจบปริญญาตรีเคยทำงาน ณ สถานที่ราชการแห่งหนึ่ง จนกระทั่งคลอดลูกมาได้ 3 เดือน สามีให้ออกจากงานมาดูแลลูก โดยจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายท้ังหมด ณ ปัจจุบัน เป็นเวลา 4 ปีแล้ว ดิฉันไม่มีงานทำ

5.สามีให้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนเป็นจำนวน 22,000 บาท โดยเป็นค่าอาหารในคอบครัว 10,000 บาท ค่าส่งงวดบ้าน (ธ.อาคารสงเคราะห์ 3,100 บาท) ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของดิฉัน

6.สามีดิฉันเค้าเป็นคนฉลาดและรอบคอบมาก ดิฉันเคยคุยกับเขาและขอเขาหย่า โดยขอให้เค้าส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้ดิฉันกับลูก ระหว่างที่ดิฉันยังไม่มีงานทำ เพราะดิฉันยังมีหนี้ต้องจ่ายอยู่ และงานที่หาได้ใหม่อาจจะไม่พอใช้จ่ายส่วนตัว ดูแลลูก และจ่ายหนี้ อยากให้เค้าช่วยเหลือดิฉันในฐานะที่ดิฉันอยู่กับเค้ามาต้ังหลายปี แต่เค้าบอกว่าจะไม่ให้เงินดิฉัน แต่จะให้ลูกคนเดียว โดยเค้าจะไปคุยกับทนายของเค้า ดิฉันรู้นิสัยว่าเค้าจะไม่ให้เงินกระเด็นออกมาจากเค้าแน่นอน

7.เป็นไปได้ไหมคะที่ดิฉันจะฟ้องหย่า โดยใช้เหตุผลว่ามีความคิดเห็นที่ทำร้ายจิตใจกัน และขอสิทธิในการเลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว เพราะเค้าแก่แล้ว (อายุ 55 ปี)และดิฉันคิดว่าเค้าก็คงไม่พาลูกไปอยู่ต่างประเทศ เพราะตัวเค้าอีกก็อยู่ประเทศไทยมา เกือบ 10 ปี (เค้าบอกว่าอยู่ต่างประเทศมันแพง)(เค้าไม่เคยพาดิฉันไปอังกฤษหรือออสเตรเลียเลย)?

8.เป็นไปได้ไหมคะที่จะขอค่าเลี้ยงดูจากเค้า และขอให้เค้าจ่ายเป็นก้อนไปเลย ไม่ต้องเจอกันอีก เพราะดิฉันเคยได้ฟังเรื่องจากเพื่อนมาว่าเคยหย่ากับสามีต่างชาติและสามีรับปากว่าจะจ่ายค่าเลี้ยงดูทุก 6 เดือน แต่พอจ่ายได้ 3 คร้ัง ก็หายกลับประเทศไปเลย ติดต่อไม่ได้?

9.รถและมอเตอร์ไซด์ที่เป็นชื่อดิดิฉันเค้าสามารถเอาไปได้ไหมคะ(ดิฉันเชื่อว่าเค้าไม่ยอมให้ดิฉันเอาไปแน่นอน)?

10.ดิฉันอยู่พัทยา ถ้าจะฟ้องหย่าต้องดำเนินการที่ไหนคะ?

11.ตอนนี้ดิฉันไม่มีเงินเลย ค่าทนายจะเท่าไหร่คะ และเป็นไปได้ไหมที่จะร้องศาลให้เค้าเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้?

12.เค้าบอกว่าดิฉันไม่มีงาน ไม่มีเงิน ศาลจะไม่ให้สิทธิเลี้ยงดูบุตร และในกรณีที่หากดิฉันได้สิทธิเลี้ยงดูบุตร เค้าก็ไม่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูอะไรให้กับดิฉัน จ่ายให้ลูกคนเดียว รถก็ต้องขายและแบ่งคนละครึ่ง ส่วนบ้านก็ต้องเป็นของเขาเพราะเป็นชื่อบริษัทเค้า ส่วนหนี้ต่างๆ เค้าก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร จริงหรือเปล่าคะ?

13.ต้องทำอย่างไรบ้างคะที่จะชนะ ใช้เอกสารอะไรบ้างและต้องทำอย่างไร

ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เขียนซะยาวเลย ดิฉันกลุ้มใจ อัดอั้นจริงๆ ค่ะ อยากจะให้มันจบๆ ไป ชีวิตจะได้เดินต่อไป ดิฉันเรียนรู้แล้วว่าเราไม่สามารถฝากชีวิตไว้กับใครได้ การแบมือรอเงินจากสามีมันเป็นความคิดที่ทำร้ายเราได้จริง เราไม่มีเงินเค้าก็ดูถูกเรา คิดว่าเราไม่มีทางไป ท้ังๆ ที่เค้าเป็นคนเสนอให้เราออกจากงานมาดูแลลูก ดูแลบ้าน ดูแลเค้า แต่พอตอนนี้เค้ากลับคิดว่าเราใช้ลูกมาเป็นตัวประกัน เพื่อที่จะเอาเงินจากเค้า จะให้ดิฉันทำอย่างไรล่ะคะ ดิฉันอยากดูแลลูกและลูกก็ต้องใช้เงิน เค้าก็เป็นพ่อก็น่าจะเข้าใจ แต่นี่เค้าคิดแต่ว่าดิฉันใช้ลูกเพื่อจะเอาเงินของเค้า ถ้าดิฉันมีเงิน ดิฉันจะไม่ขอเค้าสักบาทเลย ใครจะว่าดิฉันไม่ศักดิ์ศรีหรืออะไรก็ตาม แต่ดิฉันทำเพื่อลูก ขอเป็นทุนให้กับชีวิตที่จะเริ่มต้นใหม่บ้าง ไม่ใช่จะขอคร้ังเดียวให้รวยไปเลย ไม่ีมีใครอยากจะมีชีวิตคู่ที่ล้มเหลวหรอกค่ะ ใครๆ ก็พูดว่ามีสามีฝรั่งแล้วโชคดี สำหรับดิฉัน มันอาจจะเคยใช่ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว แล้วฝรั่งมันก็แสบ เวลามันเล่นเรากลับมันก็ทำเราเจ็บน่าดู มันมีเงินที่จะจ้างทนายที่ทำให้ตัวเองเสียเงินน้อยที่สุด ตอนแรกดิฉันเคยคิดว่าเค้าให้เราแค่ไหนก็เอาแค่นั้น ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ตอนนี้ดิฉันไม่ยอมแล้วค่ะ ดิฉันจะสู้ค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ จะรอคำตอบค่ะ
ทนายภูวรินทร์
Admin
phuwarinlawyer@hotmail.com
ตอบ # 32 เมื่อ 4 มีนาคม 2555 01:09 น. [แจ้งลบ]

 ตอบคุณเปิ้ล

          ตามข้อเท็จจริงที่คุณเปิ้ลได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น ตามกฎหมายไทยไม่สามารถอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้เลยครับ เพราะสามีคุณยังคงอุปการะเลี้ยงดูลูกและคุณอยู่ และก็ยังไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ตามกฎหมายอีกด้วย ซึ่งกฎหมายบัญญัติข้ออ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไว้หลายประการ คุณสามารถอ่านได้ที่เนื้อหาของกระทู้นี้ เรื่องเหตุฟ้องหย่าครับ ส่วนวิธีการจะทำให้สามารถฟ้องได้นั้นเป็นเทคนิคของการดำเนินคดีที่ไม่สามารถตอบในที่นี้ได้ ต้องโทรศัพท์คุยเป็นการเฉพาะตัวครับโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ  

       
ตามกฎหมายห้ามชาวต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ดังนั้น ชาวต่างชาติจึงต้องจดทะเบียนบริษัทเป็นเจ้าของที่ดินและต้องเป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย 51 % ขึ้นไปจึงจะซื้อที่ดินได้ แต่บริษัทก็ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงครับ เพราะบริษัทเป็นบุคคลที่กฎหมายสมมุติขึ้นมาเท่านั้น ผู้ที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงก็คือผู้ถือหุ้นโดยมีสิทธิตามจำนวนหุ้น ที่ตนถือ ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่นแม้จะเป็นชื่อคุณ แต่สามีก็ยังมีส่วนในความเป็นเจ้าของเหมือนกัน เพราะคู่มือทะเบียนรถไม่ใช่หลักฐานที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่เหมือนกับโฉนดที่ดินครับ ทรัพย์สินทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นสินสมรส เมื่อมีการหย่ากันก็ต้องแบ่งคนละครึ่ง ยกเว้น ฝ่ายที่อ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตนฝ่ายเดียวเพราะเอาเงินส่วนตัวที่มีก่อนสมรสมาซื้อ ต้องนำสืบหักล้างให้ได้ จึงจะได้กรรมสิทธิ์ทั้งหมด


1 2 3 4 5

Reply ตอบกลับกระทู้

ตัวหนา ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ ตัวขีดกลาง ชิดซ้าย กึ่งกลาง ชิดขวา รูปภาพ ลิ้งก์ ขนาดต้วอักษร สีต้วอักษร

    แนบไฟล์ :
(ขนาดไฟล์ไม่เกิน 2 MB.)
    ผู้เขียน : *
    E-mail : *
 ไม่ต้องการแสดง E-mail
    รหัสตรวจสอบ : Security Image
* กรุณากรอกรหัสที่อยู่ในรูป
Copyright by www.phuwarinlawyer.com
Engine by MAKEWEBEASY