 |
 |
 |
 |
 |
 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
สถิติผู้เข้าชม
|
ขณะนี้มีผู้เข้าใช้
|
9
|
ผู้เข้าชมในวันนี้
|
43
|
ผู้เข้าชมทั้งหมด
|
2,478,412
|
เปิดเว็บ
|
02/06/2553
|
ปรับปรุงเว็บ
|
17/02/2565
|
|
|
|
|
1 มิถุนายน 2566
|
อา |
จ. |
อ. |
พ. |
พฤ |
ศ. |
ส. |
| | | |
1 |
2 |
3 |
4 |
5 |
6 |
7 |
8 |
9 |
10 |
11 |
12 |
13 |
14 |
15 |
16 |
17 |
18 |
19 |
20 |
21 |
22 |
23 |
24 |
25 |
26 |
27 |
28 |
29 |
30 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ข้อแตกต่างระหว่างการ “ดูหมิ่น” กับ “หมิ่นประมาท”
|
|
ข้อแตกต่างระหว่างการ “ดูหมิ่น” กับ “หมิ่นประมาท”
1. ดูหมิ่น คือ การดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท ด่าทอ ทำให้อับอาย เป็นการประทุษร้าย
ต่อเกียรติที่บุคคลมีอยู่ในตัวเอง โดยผู้ดูหมิ่นลดคุณค่าที่มีอยู่ในตัวของผู้ถูกดูหมิ่นด้วยตนเอง
เป็นความผิดลหุโทษมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 “ผู้ใด ดูหมิ่น ผู้อื่นซึ่ง
หน้า หรือ ด้วยการโฆษณาต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ”
การด่าหรือสบประมาทว่าเป็นคนต่ำต้อยหรือเลว บางกรณีเป็นเพียงคำพูดที่ไม่สุภาพ
เท่านั้น ไม่ใช่เป็นคำด่าหรือเป็นการสบประมาทเหยียดหยามให้ได้รับความอับอาย ซึ่งก็ไม่เป็น
ความผิดแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2551 การดูหมิ่นผู้อื่นอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 393 หมายถึง
การดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท หรือทำให้อับอาย การวินิจฉัยว่าการกล่าววาจาอย่างไรเป็นการดูหมิ่น
ผู้อื่นหรือไม่จึงต้อง พิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามสบประมาทผู้ที่ถูกล่าวถึง หรือเป็น
การทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวถึงอับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว ไม่ต้องถึงกับเป็นการ
ใส่ความให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ซึ่งเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326
2. หมิ่นประมาท คือ 1.การใส่ความผู้อื่น 2.ต่อบุคคลที่สาม 3.โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่น
นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เป็นการประทุษร้ายต่อเกียรติที่บุคคลมีอยู่ในสังคม
โดยผู้หมิ่นประมาททำให้บุคคลที่สามเป็นผู้ลดคุณค่าที่มีอยู่ในสังคมของผู้ถูกหมิ่นประมาท ซึ่ง
การใส่ความจะต้องโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 มีโทษ
จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดด้วยการโฆษณาก็
จะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี ปรับไม่เกินสองแสนบาท
.jpg)
ตามพจนานุกรมฯ คำว่า “ใส่ความ” หมายถึงพูดหาเหตุร้าย กล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
ส่วนทางกฎหมายคำว่า “ใส่ความ”หมายถึงการยืนยันข้อเท็จจริง หรือกล่าวยืนยันความจริง หรือความเท็จ
หรือเอาเรื่องไม่จริงไปแต่งความใส่ร้าย หรือเอาเรื่องจริงไปกล่าว ก็เป็นความผิด เรียกว่า ยิ่งจริงยิ่งหมิ่น
ประมาทหรือแม้แต่การเล่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาไปพูดให้บุคคลอื่นฟังก็เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้
สำหรับข้อความจะเป็นหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาตามความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไป มิใช่พิจารณา
ถึงความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว
การกล่าวข้อความที่ไม่ได้ระบุชื่อผู้อื่นที่จะเป็นความผิดนั้นจะต้องได้ความว่าการใส่ความดังกล่าวได้ระบุ
ถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความเป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ถูกใส่ความโดยตรง การ
ใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ จึงจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
ส่วนการกล่าวถึงผู้หนึ่งผู้ใดในกลุ่มบุคคลโดยไม่ได้เจาะจงว่าหมายถึงผู้ใดโดยเฉพาะ และถ้อยคำที่กล่าวไม่
อาจเข้าใจได้ว่าหมายถึงผู้ใด จึงไม่เป็นหมิ่นประมาท
ส่วนข้อเท็จจริงที่จะเป็นหมิ่นประมาท หรือการใส่ความนั้นพอจะสรุปตามแนวคำวินิจฉัยศาลฎีกาได้
ดังนี้ ต้องไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นคำหยาบ หรือเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นไปไม่ได้, ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่แน่นอน
ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่คลุมเครือ หรือเลื่อนลอย หรือกล่าวด้วยความน้อยใจ, ข้อเท็จจริงที่กล่าวนั้น ต้องเป็นข้อ
เท็จจริงที่ยืนยันในอดีต หรือปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงการคาดคะเน หรือกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต แต่กรณีแสดง
ความคิดเห็นบางอย่างแม้จะเป็นการแสดงความคิดเห็นในอนาคต แต่หากฟังแล้วทำให้เข้าใจว่าในปัจจุบัน
เป็นเช่นไร ก็ย่อมเป็นหมิ่นประมาทได้
ข้อความที่จะเป็นการจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องเป็นข้อความที่ทำให้เขาเสียชื่อเสียง
ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อาทิเช่นเป็นการใส่ความเกี่ยวกับความประพฤติ, เป็นการใส่ความเกี่ยวกับเรื่อง
ประเวณี หรือการอันไม่สมควรทางเพศ, เป็นการใส่ความเกี่ยวกับหน้าที่การงาน หรือเป็นการกล่าวถึงความ
ไม่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทางการเงิน เป็นต้น
+++ตัวอย่างคดีที่ศาลฎีกาตัดสินเป็นบรรทัดฐานว่าเป็นการใส่ความ และเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
เช่น
+คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2503 จำเลยได้รับคำบอกเล่าจากญาติของโจทก์ว่า โจทก์รักใคร่กับชายใน
ทางชู้สาว นอนกอดจูบและได้เสียกัน ต่อมามีผู้ถามจำเลยถึงเรื่องนี้ จำเลยก็เล่าตามข้อความที่ได้รับบอกเล่ามา
เช่นนี้ถือว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ จำเลยมีความผิดตามมาตรา 326
+คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2537 หัวข้อข่าวที่ว่า แอมบาสเดอร์เบี้ยวค่าเฟอร์นิเจอร์เจ้าของร้านฟ้อง
ศาลเรียกหนี้ 1 ล้าน คำว่าเบี้ยวมีความหมายพิเศษเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่าหมายถึง ไม่ซื่อตรงหรือโกง หมายถึง
แอมบาสเดอร์ไม่จ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์ เพราะไม่ซื่อตรงหรือโกง เจ้าของร้านฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้านบาท และ
หัวข้อข่าวดังกล่าวเป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์เอง ประกอบกับข้อความในเนื้อข่าวเป็นการใส่ความโจทก์โดย
ประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
+คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2371/2522 จำเลยพูดถึงผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงทำงานอยู่ที่สำนักงานที่ดิน
อำเภอว่ากระหรี่ที่ดิน คำว่า "กระหรี่" หมายความว่าหญิงนครโสเภณีหรือหญิงค้าประเวณี แม้จำเลยจะไม่ได้
กล่าวรายละเอียดว่าค้าประเวณีกับใครประพฤติสำส่อนในทางเพศกับใครบ้างก็เพียงพอที่จะถือว่าเป็นคำหมิ่น
ประมาทแล้ว
จากตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การหมิ่นประมาทไม่ใช่การด่ากัน แต่เป็นการ
ใส่ความผู้อื่น ทั้งเรื่องจริงและไม่จริง
+++ตัวอย่างคดีที่ศาลฎีกาตัดสินเป็นบรรทัดฐานว่าไม่เป็นการใส่ความ และไม่เป็นความผิดฐานหมิ่น
ประมาท เช่น
+คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2506 ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวต่อหน้าบุคคลหลายคนว่า โจทก์เป็นคน
นิสัยไม่ดี มีความรู้สึกต่ำโจทก์เป็นคนมีหนี้สินเป็นแสนๆ ยังใช้หนี้เขาไม่หมด อวดมั่งมีคาดเข็มขัดทองไม่เป็น
ถ้อยคำที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
+คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2509 ความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องเป็นการแสดงข้อความให้คน
ฟังคนเห็นเชื่อ จึงจะเกิดความรู้สึกเกลียดชังดูหมิ่นขึ้นได้ จำเลยกล่าวว่าโจทก์เป็นผีปอบ เป็นชาติหมา ตาม
ความรู้สึกนึกคิดของคนธรรมดา ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นได้ จึงไม่ก่อให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่นแต่
อย่างใด และข้อความใดจะเป็นการทำให้เสียหายแก่ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ต้องถือตามความคิด
ของบุคคลธรรมดาผู้ได้ฟัง คำกล่าวของจำเลยข้างต้นไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท
+คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10189/2546 ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวว่า“โจทก์ร่วมเป็นบุคคลวิกลจริตไม่
สามารถทำงานได้เป็นคนบ้าเหมือนหมาบ้า” นั้น เป็นถ้อยคำที่เลื่อนลอยไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงซึ่งเมื่อ
ฟังประกอบข้อความตอนท้ายที่ว่า “และยังได้นำใบ ร.บ. (ระเบียนการศึกษา) ไปจำหน่ายให้กับนักเรียนด้วย”
แล้ว ยิ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มุ่งหวังให้บุคคลอื่นเชื่อว่าโจทก์ร่วมเป็นบุคคลวิกลจริต ถ้อยคำดังกล่าว
จึงไม่ทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
จากตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้น แสดงว่า การกล่าวข้อเท็จจริงที่เป็นไปไม่ได้ เช่น ผีปอบ
หรือชาติหมา ย่อมไม่ทำให้คนเชื่อ ไม่ก่อให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่นได้ ย่อมไม่เป็นความผิดฐานหมิ่น
ประมาท
*********************************************************
หากคุณมีปัญหาและต้องการคำปรึกษาด้านกฎหมาย เพิ่มเติม
ติดต่อได้ที่ ทนายภูวรินทร์ ทองคำ โทร.081- 9250-144
E-Mail : Phuwarinlawyer@hotmail.com
http://www.phuwarinlawyer.com/
|
|
|